คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2847/2527

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถแท็กซี่คันพิพาท ได้ร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้องเรียกรถดังกล่าวคืนจากจำเลยต่อศาลแพ่ง พร้อมกับขอให้ศาลมีคำสั่งยึดรถนั้นไว้ชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษาศาลแพ่งได้มีคำสั่งตามคำขอของโจทก์ทั้งสอง แต่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดรถแท็กซี่ดังกล่าวไม่ได้เพราะจำเลย ยักย้ายรถไปไว้ที่อื่น โจทก์ทั้งสองย่อมเสียหายโดยตรงกรณีเช่นนี้จำเลยยักย้ายรถไปไว้ที่อื่นก่อนที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะไปยึด จึงมิใช่เป็นการกระทำต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี แต่เป็นการกระทำต่อโจทก์ทั้งสองโดยตรง โจทก์ทั้งสองจึงเป็น ผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องขอให้ลงโทษจำเลย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 187ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์แท็กซี่คันพิพาทได้ร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้องเรียกรถดังกล่าวคืนจากจำเลยต่อศาลแพ่ง พร้อมกับขอให้ศาลมีคำสั่งยึดรถนั้นไว้ชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษา ศาลแพ่งมีคำสั่งตามคำขอของโจทก์ทั้งสอง และจำเลยได้ทราบคำสั่งนี้แล้ว จำเลยซึ่งรู้อยู่แล้วว่าถูกโจทก์ฟ้องเรียกรถแท็กซี่คืน และรู้ว่ารถแท็กซี่คันพิพาทน่าจะถูกยึดหรืออายัดตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลแพ่ง จำเลยได้บังอาจนำรถแท็กซี่คันดังกล่าวไปหลบซ่อนเสีย โดยมีเจตนาเพื่อมิให้ถูกยึดตามคำสั่งของศาล ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 187

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว มีคำสั่งประทับฟ้อง

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหาย พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์เป็นผู้เสียหาย มีอำนาจฟ้องพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีใหม่

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ในชั้นนี้ว่า โจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถแท็กซี่คันพิพาท ได้ร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้องเรียกรถดังกล่าวคืนจากจำเลยต่อศาลแพ่งพร้อมกับขอให้ศาลมีคำสั่งยึดรถนั้นไว้ชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษา ศาลแพ่งได้มีคำสั่งตามคำขอของโจทก์ทั้งสอง แต่เจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดรถแท็กซี่ดังกล่าวไม่ได้เพราะจำเลยยักย้ายรถนั้นไปไว้ที่อื่น โจทก์ทั้งสองจึงฟ้องคดีนี้ ปัญหาว่า โจทก์ทั้งสองเป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องจำเลยหรือไม่ เห็นว่าโจทก์ทั้งสองถือกรรมสิทธิ์ในรถคันพิพาท เมื่อรถถูกยักย้ายไปจนโจทก์นำยึดไม่ได้ถ้าในที่สุดเมื่อโจทก์ทั้งสองชนะคดีเจ้าพนักงานบังคับคดีก็ไม่สามารถยึดรถคันพิพาทมาได้ โจทก์ทั้งสองก็จะไม่ได้รถกลับคืนมาตามที่เรียกร้อง โจทก์ทั้งสองย่อมเสียหายโดยตรง จึงมีอำนาจฟ้องจำเลย ที่จำเลยฎีกาว่า กรณีจำเลยขัดขืนหลีกเลี่ยงการยึดรถ เป็นการกระทำต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดีเท่านั้นที่เป็นผู้เสียหาย มิใช่โจทก์ทั้งสองนั้น เห็นว่า กรณีนี้เจ้าพนักงานบังคับคดียังมิได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับรถคันพิพาทเลยเพราะขณะโจทก์นำยึดรถดังกล่าวมิได้อยู่ที่จำเลยดังนั้นที่จำเลยยักย้ายรถไปไว้ที่อื่นก่อนที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะไปยึด มิใช่เป็นการกระทำต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี แต่เป็นการกระทำต่อโจทก์ทั้งสองโดยตรง โจทก์ทั้งสองย่อมเป็นผู้เสียหาย

พิพากษายืน

Share