แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 เป็นบุคคลล้มละลาย เมื่อนับถึงวันที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ยื่นคำร้องขอปลดจากล้มละลายเป็นเวลาเพียง 2 ปี 7 เดือนเศษเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รวบรวมทรัพย์สินของจำเลยทั้งสามและทำบัญชีส่วนแบ่งให้โจทก์ได้รับชำระหนี้เพียงครั้งเดียวเป็นเงิน 729,785.96 บาท หรือคิดเป็นร้อยละ 1.54 ของหนี้ทั้งหมดโจทก์ยังมีสิทธิได้รับชำระหนี้อีก46,568,912.44 บาท และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่สามารถรวบรวมทรัพย์สินของจำเลยทั้งสามได้อีก และการที่จำเลยที่ 2และที่ 3 มีทรัพย์สินเหลือไม่ถึงห้าสิบในร้อยของหนี้ที่ไม่มีประกัน ไม่ใช่ผลธรรมดาอันเนื่องมาจากการค้าขายขาดทุนและไม่ใช่เป็นเหตุสุดวิสัย แต่เป็นเพราะความผิดพลาดในการบริหารงานของจำเลยที่ 2 และที่ 3 อันควรจะตำหนิจำเลยที่ 2และที่ 3 นอกจากนี้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่อาจแสดงให้เป็นที่พอใจต่อศาลได้ว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 มีเหตุผลที่ควรเชื่อได้ว่าตนสามารถชำระหนี้โจทก์ได้ จึงได้ก่อหนี้ขึ้นเป็นจำนวนมากทั้งมิได้นำบัญชีในการประกอบธุรกิจและงบดุลประจำปี ในระยะเวลา 3 ปี ก่อนล้มละลายมาแสดงต่อศาลเพื่อให้เห็นฐานะของกิจการโดยถูกต้องตามจริง พฤติการณ์ของจำเลยที่ 2 และที่ 3ต้องด้วยสันนิษฐานตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 74 ว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 ขืนกระทำการค้าขายต่อไปอีกโดยรู้อยู่แล้วว่าไม่สามารถจะชำระหนี้ได้ต้องด้วยข้อกำหนดมาตรา 73(1) และ (3) ประกอบกับโจทก์คัดค้านการขอปลดจากล้มละลายของจำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงนับว่ามีเหตุที่ไม่สมควรปลดจำเลยที่ 2 และที่ 3 จากล้มละลาย
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสามไว้เด็ดขาด และพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลายต่อมาวันที่ 28 กรกฎาคม 2537 จำเลยที่ 2 และที่ 3 ยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งปลดจำเลยที่ 2 และที่ 3 จากล้มละลาย
โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้าน ขอให้ยกคำร้อง
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นรายงานเกี่ยวกับการปลดจากล้มละลายถึงกิจการทรัพย์สินและความประพฤติของจำเลยที่ 2 และที่ 3ว่า โจทก์เป็นเจ้าหนี้เพียงรายเดียวที่ยื่นคำขอรับชำระหนี้เป็นเงินทั้งสิ้น 47,388,658.40 บาท ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ได้รับชำระหนี้เต็มจำนวน จำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการจำเลยที่ 1 ซึ่งประกอบกิจการโรงสีข้าวและโรงงานผลิตมันเม็็ดจำเลยที่ 3 เป็นหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิดของจำเลยที่ 1จำเลยที่ 1 เป็นหนี้เงินกู้โจทก์ โดยมีจำเลยที่ 2 และที่ 3เป็นผู้ค้ำประกันเหตุที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ถูกฟ้องล้มละลายเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระหนี้แก่โจทก์เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รวบรวมทรัพย์สินของจำเลยทั้งสามและทำบัญชีส่วนแบ่งให้โจทก์ได้รับชำระหนี้เพียงครั้งเดียว เมื่อหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายแล้วเป็นเงิน 729,785.96 บาท คงเหลือหนี้ที่โจทก์ยังมิได้รับชำระหนี้อีก 46,568,912.44 บาทเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่สามารถรวบรวมทรัพย์สินของจำเลยทั้งสามได้อีก ทางสอบสวนของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 กระทำความผิดในทางอาญาเกี่ยวกับการล้มละลาย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งปลดจำเลยที่ 2 และที่ 3 จากล้มละลายตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 71
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า สมควรปลดจำเลยที่ 1 และที่ 3 จากล้มละลายหรือไม่เห็นว่า การที่ศาลจะมีคำสั่งปลดจากล้มละลายหรือไม่อย่างไรนั้นจะต้องพิจารณาข้อเท็จจริงให้ได้ความอย่างหนึ่งอย่างใดดังกล่าวไว้ในมาตรา 73 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 แล้วจึงมีคำสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดหรือหลายอย่างตามมาตรา 72(1) ถึง (4)คดีนี้ ตามรายงานของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ความว่าศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นบุคคลล้มละลายเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2534 เมื่อนับถึงวันที่ 28 กรกฎาคม 2537อันเป็นวันที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ยื่นคำร้องปลดจากล้มละลายเป็นเวลาเพียง 2 ปี 7 เดือนเศษ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รวบรวมทรัพย์สินของจำเลยทั้งสามและทำบัญชีส่วนแบ่งให้โจทก์ได้รับชำระหนี้เพียงครั้งเดียวเป็นเงิน 729,785.96 บาท หรือคิดเป็นร้อยละ 1.54 ของหนี้ทั้งหมด โจทก์ยังมีสิทธิได้รับชำระหนี้อีก 46,568,912.44 บาท และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่สามารถรวบรวมทรัพย์สินของจำเลยทั้งสามได้อีก การที่จำเลยที่ 2และที่ 3 มีทรัพย์สินเหลือไม่ถึงห้าสิบในร้อยของหนี้ที่ไม่มีประกันไม่ใช่ผลธรรมดาอันเนื่องมาจากการค้าขายขาดทุนและไม่ใช่เหตุสุดวิสัย แต่เป็นเพราะความผิดพลาดในการบริหารงานของจำเลยที่ 2 และที่ 3 มากกว่า อันควรจะตำหนิจำเลยที่ 2 และที่ 3นอกจากนี้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่อาจแสดงให้เป็นที่พอใจต่อศาลได้ว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 มีเหตุผลที่ควรเชื่อได้ว่าตนสามารถชำระหนี้โจทก์ได้ จึงได้ก่อหนี้ขึ้นเป็นจำนวนมาก ทั้งมิได้นำบัญชีในการประกอบธุรกิจและงบดุลประจำปีในระยะเวลา 3 ปีก่อนล้มละลายมาแสดงต่อศาลเพื่อให้เห็นฐานะของกิจการโดยถูกต้องตามจริง พฤติการณ์ของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ต้องด้วยข้อสันนิษฐานตามมาตรา 74 ว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 ขืนกระทำการค้าขายต่อไปอีกโดยรู้อยู่แล้วว่าไม่สามารถจะชำระหนี้ได้เมื่อข้อเท็จจริงต้องด้วยข้อกำหนดมาตรา 73(1) และ (3) ประกอบกับโจทก์คัดค้านการขอปลดจากล้มละลายของจำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงนับว่ามีเหตุที่ไม่สมควรปลดจำเลยที่ 2 และที่ 3 จากล้มละลาย
พิพากษากลับไม่ยอมปลดจากล้มละลาย ให้ยกคำร้องขอปลดจากล้มละลายของจำเลยที่ 2 และที่ 3 และให้กองทรัพย์สินของจำเลยที่ 2และที่ 3 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์