คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 284/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 กู้เงินไป 700,000 บาท จำเลยที่ 3 ที่ 4 เป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยที่ 1 นำ เช็คของลูกค้า 6 ฉบับเป็นเงิน 242,239 บาท มาชำระหนี้ โจทก์นำไปชำระหนี้แก่ ธ. ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค ธ. นำเช็คมาคืน โจทก์ได้ชำระเงินตามเช็คทั้ง 6 ฉบับไปแล้ว จำเลยที่ 1 ยังเป็นหนี้โจทก์อยู่ 242,239 บาท ดังนี้ ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามคำฟ้องของโจทก์ ดังกล่าวเป็นเรื่องที่โจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องโดยอาศัยมูลหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาค้ำประกันส่วนที่โจทก์บรรยายถึงเช็ค 6 ฉบับมาด้วย ก็เพื่อแสดงให้เห็นพฤติการณ์ที่จำเลยที่ 1 นำเช็คมาชำระหนี้เงินกู้ยืมแล้วโจทก์ยังไม่ได้รับเงินเท่านั้น ฉะนั้นการวินิจฉัยว่าคดีขาดอายุความหรือไม่ จึงต้องวินิจฉัยตามมูลหนี้ที่โจทก์ฟ้อง คือสัญญากู้ยืมและค้ำประกันจะนำอายุความเรื่องเช็คมาวินิจฉัยว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความไม่ได้ เพราะเป็นการนอกประเด็นตามคำฟ้อง
สัญญาค้ำประกันที่ค้ำประกันรวมถึงหนี้ในอนาคตด้วยนั้น มีผลบังคับได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 681
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยโดยมิได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ เป็นการผิดพลาดเล็กน้อย ศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้องได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ได้กู้เงินโจทก์ไป ๗๐๐,๐๐๐ บาท มีจำเลยที่ ๓ ที่ ๔ เป็นผู้ค้ำประกัน ต่อมาจำเลยที่ ๑ นำเช็คลูกค้าของจำเลยที่ ๑ รวม ๖ ฉบับชำระหนี้เงินที่กู้ยืมไปให้แก่โจทก์รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น ๒๔๒,๒๓๙ บาท เมื่อเช็คถึงกำหนด โจทก์นำไปชำระหนี้ให้บริษัทธีรชัยอุตสาหกรรม จำกัด แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คทั้ง ๖ ฉบับ บริษัทธีรชัยอุตสาหกรรม จำกัดได้นำเช็คมาคืนโจทก์ และโจทก์ได้ชำระเงินตามเช็คทั้ง ๒ ฉบับ ให้ไปและขอรับเช็คและใบคืนเช็คไว้ จำเลยทั้งสี่ต้องรับผิดชดใช้ให้โจทก์ จึงขอให้ศาลบังคับ
จำเลยที่ ๑,๒ และ ๔ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๓ ให้การว่าจำเลยที่ ๑ ทำสัญญากู้กับโจทก์โดยมีเจตนาที่จะนำเช็คไปแลกเงินหรือขายลดเช็คกับโจทก์ในวงเงินเจ็ดแสนบาท สัญญากู้ดังกล่าวเป็นนิติกรรมอำพรางการแลกเปลี่ยนเช็ค จำเลยที่ ๑ ไม่เคยรับเงินตามสัญญากู้ไปจากโจทก์จึงไม่มีมูลหนี้ที่จะต้องชำระให้โจทก์ จำเลยที่ ๓ ได้บอกเลิกสัญญาค้ำประกันตามฟ้องก่อนที่จำเลยที่ ๑ จะทำสัญญากู้กับโจทก์ จำเลยที่ ๓ จึงไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงินให้โจทก์
จำเลยที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เช็คตามฟ้องเป็นเช็คที่จำเลยที่ ๑ นำไปแลกเงินสดจากโจทก์หรือขายลดไว้กับโจทก์ ไม่ใช่เช็คที่นำไปชำระหนี้เงินกู้โจทก์ชอบที่จะฟ้องผู้สั่งจ่ายหรือผู้สลักหลัง โจทก์ฟ้องคดีนี้เกินหนึ่งปี คดีขาดอายุความ จำเลยที่ ๓ ผู้ค้ำประกันจึงหลุดพ้นความรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๙๘ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ ๓
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ได้กู้เงินโจทก์ไป ๗๐๐,๐๐๐ บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี มีจำเลยที่ ๓ ที่ ๔ เป็นผู้ค้ำประกัน ต่อมาจำเลยที่ ๑ นำเช็คลูกค้าของจำเลยที่ ๑ รวม ๖ ฉบับ รวมเป็นเงิน ๒๔๒,๒๓๙ บาทมาชำระให้โจทก์ เมื่อเช็คถึงกำหนดโจทก์นำเช็คทั้ง ๖ ฉบับไปชำระหนี้ให้แก่บริษัทธีรชัยอุตสาหกรรม จำกัด ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน บริษัทธีรชัยอุตสาหกรรม จำกัด จึงนำเช็คมาคืนให้โจทก์และโจทก์ได้ชำระเงินตามเช็คทั้ง ๖ ฉบับไปแล้ว จำเลยที่ ๑ จึงยังเป็นหนี้โจทก์อยู่ ๒๔๒,๒๓๙ บาท จำเลยทั้งสี่ต้องร่วมรับผิด โจทก์ทวงถามแล้ว จำเลยเพิกเฉย จึงฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้ง ๔ ชำระหนี้ดังกล่าว ศาลฎีกาเห็นว่าข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามคำฟ้องของโจทก์ข้างต้นเป็นเรื่องที่โจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องโดยอาศัยมูลหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาค้ำประกัน การที่โจทก์บรรยายถึงเช็ค ๖ ฉบับ มาด้วย ก็เพื่อแสดงให้เห็นพฤติการณ์ที่จำเลยที่ ๑ได้นำเช็คทั้ง ๖ ฉบับมาชำระหนี้เงินที่กู้ยืมให้แก่โจทก์ และโจทก์ยังไม่ได้รับชำระ ซึ่งจำเลยที่ ๓ ในฐานะผู้ค้ำประกันต้องร่วมรับผิด แม้สิทธิเรียกร้องของโจทก์ตามเช็คทั้ง ๖ ฉบับจะขาดอายุความกรณีก็ต้องวินิจฉัยถึงความรับผิดของจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ตามสัญญากู้และสัญญาค้ำประกัน ที่ทำไว้แก่โจทก์อันเป็นประเด็นโดยตรงแห่งคดี ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดีนี้โดยอาศัยมูลหนี้ตามเช็คให้จำเลยที่ ๓ ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๙๘ โดยอ้างว่าเช็คทั้ง ๖ ฉบับขาดอายุความ โดยมิได้วินิจฉัยถึงความรับผิดของจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ตามสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันอันเป็นประเด็นโดยตรงแห่งคดี จึงเป็นการไม่ถูกต้องและวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยที่ ๓ ได้ทำสัญญาค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ ๑ ให้ไว้แก่โจทก์โดยข้อความในสัญญาระบุว่าเป็นการค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ ๑ อันเกิดจากการกู้ยืมเงิน การขายลดเช็ค ตั๋วสัญญาใช้เงินหรือหนี้ในลักษณะอื่น ๆ ทั้งที่เป็นหนี้อยู่แล้วในขณะนี้และหนี้ที่เกิดขึ้นในภายหน้าจะเป็นครั้งเดียวหรือหลายครั้งก็ตามรวมวงเงินไม่เกิน ๗๐๐,๐๐๐ บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี สัญญาค้ำประกันดังกล่าวเป็นการค้ำประกันรวมถึงหนี้ในอนาคตของจำเลยที่ ๑ ด้วย จึงมีผลบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๘๑
ปรากฏว่าจำเลยทั้งสี่จะต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ตามสัญญาในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี แต่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ โดยมิได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ เป็นการผิดพลาดเล็กน้อย ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่าให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นฯ

Share