คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2839/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การจะนำข้อเท็จจริงจากคำพิพากษาส่วนอาญามารับฟังในคดีส่วนแพ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา46นั้นจะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์3ประการคือคำพิพากษาคดีอาญาต้องถึงที่สุดข้อเท็จจริงนั้นต้องเป็นประเด็นโดยตรงในคดีอาญาและคำพิพากษาคดีอาญาต้องวินิจฉัยไว้โดยชัดแจ้งและผู้ที่จะถูกข้อเท็จจริงในคดีอาญามาผูกพันต้องเป็นคู่ความในคดีอาญาเมื่อคำพิพากษาคดีอาญาในคดีก่อนศาลอุทธรณ์ภาค3ซึ่งเป็นศาลชั้นที่สุดมิได้วินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทคดีนี้เป็นของโจทก์ทั้งสองหรือของจำเลยทั้งสองเพียงแต่วินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสองขาดเจตนาบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์เท่านั้นดังนั้นปัญหาที่ว่าที่ดินพิพาทตามฟ้องเป็นของโจทก์ทั้งสองหรือของจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นประเด็นโดยตรงในคดีนี้คดีอาญายังไม่ได้วินิจฉัยจึงนำข้อเท็จจริงในคดีอาญาดังกล่าวมารับฟังเป็นยุติในคดีนี้ซึ่งเป็นคดีแพ่งไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองเป็นเงิน 391,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันละเมิดจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ทั้งสองและทำที่ดินพิพาทให้อยู่ในสภาพเดิมภายใน 30 วัน นับแต่วันศาลพิพากษาโดยค่าใช้จ่ายของจำเลยทั้งสอง ห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์ทั้งสองต่อไป
จำเลยทั้งสองให้การและแก้ไขคำให้การว่า ที่ดินพิพาทตามฟ้องไม่ใช่ที่ดินของโจทก์ทั้งสองแต่เป็นที่ดินของจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหาย 148,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2533 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง ให้จำเลยทั้งสองและบริวารออกไปจากที่พิพาทพร้อมทั้งรื้อถอนโรงเรือนและขนย้ายสิ่งของสัมภาระออกไปจากที่พิพาทกับทำให้ที่พิพาทอยู่ในสภาพเดิมโดยค่าใช้จ่ายของจำเลยทั้งสอง ห้ามมิให้จำเลยทั้งสองและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่พิพาทอีกต่อไป คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายจำนวน 98,000 บาท แก่โจทก์ทั้งสอง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ระหว่างพิจารณาโจทก์ที่ 2 ถึงแก่กรรม นางฐิติพร จันทนคีรินทร์ หรือแซ่อึ้ง ทายาทของโจทก์ที่ 2ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลฎีกาอนุญาต
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงคงขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกาเฉพาะในปัญหาข้อกฎหมาย ตามที่จำเลยทั้งสองฎีกามามี 2 ประเด็น คือฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและศาลจะนำข้อเท็จจริงในคดีอาญามารับฟังในคดีนี้ได้หรือไม่สำหรับประเด็นแรกนั้น จำเลยทั้งสองฎีกาว่า คำบรรยายฟ้องของโจทก์ไม่ได้บรรยายให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองบุกรุกที่ดินของโจทก์แค่ไหนเพียงใดนั้น เห็นว่า การบรรยายฟ้องในคดีแพ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 กำหนดแต่เพียงว่าฟ้องต้องแสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเท่านั้น หาต้องบรรยายถึงข้อเท็จจริงและรายละเอียดเหมือนกับฟ้องในคดีอาญาไม่ ดังนั้น ข้อความที่จำเลยทั้งสองยกขึ้นฎีกาจึงเป็นรายละเอียดที่จะต้องนำพยานเข้าสืบเมื่อมีประเด็นโต้เถียงกัน แม้โจทก์จะไม่ได้บรรยายข้อความเหล่านั้นมา ฟ้องโจทก์ก็ไม่เคลือบคลุม ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3นำเอาข้อเท็จจริงคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2592/2536 ของศาลชั้นต้นมารับฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสองไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะคดีดังกล่าวศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลย เพียงแต่วินิจฉัยว่าจำเลยไม่มีเจตนาบุกรุกเท่านั้นจึงนำเอาข้อเท็จจริงดังกล่าวมารับฟังในคดีนี้ไม่ได้นั้น ได้ความว่าโจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีอาญาในข้อหาร่วมกันบุกรุกที่ดินพิพาทและทำให้เสียทรัพย์ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสองแต่จำเลยไม่มีเจตนาบุกรุกหรือทำให้เสียทรัพย์ พิพากษายกฟ้องโจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองไม่มีเจตนาบุกรุกหรือทำให้เสียทรัพย์ ส่วนที่ว่าที่ดินพิพาทจะเป็นของโจทก์หรือจำเลยไม่จำเป็นต้องวินิจฉัย พิพากษายืน ปรากฎตามคำพิพากษาคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2592/2536 ของศาลชั้นต้นและคดีหมายเลขแดงที่ 4283/2537 ของศาลอุทธรณ์ภาค 3 คดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว ดังนี้ เห็นว่า การจะนำข้อเท็จจริงจากคำพิพากษาส่วนอาญามารับฟังในคดีส่วนแพ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 นั้นจะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ 3 ประการคือคำพิพากษาคดีต้องถึงที่สุด ข้อเท็จจริงนั้นต้องเป็นประเด็นโดยตรงในคดีอาญาและคำพิพากษาคดีอาญาต้องวินิจฉัยไว้โดยชัดแจ้งและผู้ที่จะถูกข้อเท็จจริงในคดีอาญาผูกพันต้องเป็นคู่ความในคดีอาญา แต่ตามข้อเท็จจริงที่ปรากฎตามคำพิพากษาคดีอาญาคดีหมายเลขแดงที่ 2592/2536 ของศาลชั้นต้นซึ่งโจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งสองเป็นคู่ความรายเดียวกับคดีนี้และคดีอาญาดังกล่าวถึงที่สุดแล้วก็ตาม แต่คดีอาญาดังกล่าวศาลอุทธรณ์ภาค 3 ซึ่งเป็นศาลชั้นที่สุดมิได้วินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทคดีนี้เป็นของโจทก์ทั้งสองหรือของจำเลยทั้งสอง เพียงแต่วินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสองขาดเจตนาบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์เท่านั้น ดังนั้น ปัญหาที่ว่าที่ดินพิพาทตามฟ้องเป็นของโจทก์ทั้งสองหรือของจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นประเด็นโดยตรงในคดีนี้ คดีอาญายังไม่ได้วินิจฉัยจึงนำข้อเท็จจริงในคดีอาญาดังกล่าวมารับฟังเป็นยุติในคดีนี้ซึ่งเป็นคดีแพ่งไม่ได้ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 นำเอาข้อเท็จจริงดังกล่าวในคดีอาญามารับฟังว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสองเป็นการไม่ชอบด้วยบทกฎหมายดังกล่าว ปัญหาที่ว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสองหรือของจำเลยทั้งสองเป็นปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องวินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนก่อนปัญหาเรื่องความรับผิดในค่าสินไหมทดแทนแต่คดีนี้ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยในปัญหาที่ว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสองหรือจำเลยทั้งสองก่อนและวินิจฉัยในปัญหาเรื่องค่าสินไหมทดแทนและปัญหาอื่น ๆ ตามคำฟ้องของโจทก์ต่อไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 240 (3) ประกอบด้วยมาตรา 247 ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสองฟังขึ้น”
พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ในประเด็นดังกล่าวต่อไปตามรูปคดี

Share