คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2838/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 119วรรคสองและวรรคสาม บัญญัติให้บุคคลที่ได้รับแจ้งความยืนยันหนี้คัดค้านต่อศาลโดยทำเป็นคำร้องภายในกำหนดเวลาสินสี่วันนับแต่ได้รับแจ้งความยืนยัน และตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 179 มิได้บัญญัติเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมคำร้องไว้โดยเฉพาะจึงต้องนำตาราง 2(3) ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งกำหนดให้คู่ความเสียค่าธรรมเนียมการยื่นคำขออื่น ๆ ที่ต้องทำเป็นคำร้องเพียง20 บาท มาใช้บังคับ สำหรับชั้นอุทธรณ์นั้น ตามบทบัญญัติดังกล่าวมิได้ให้คู่ความทำเป็นคำร้อง และตาม พระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา179 วรรคท้าย บัญญัติให้คิดอัตราเดียวกับค่าธรรมเนียมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเมื่อผู้ร้องอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ว่า ผู้ร้องไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ตามที่ศาลชั้นต้นยกคำร้องของผู้ร้องที่ขอให้ยกคำสั่งของผู้คัดค้านที่ยืนยันให้ผู้ร้องชำระหนี้โดยอ้างว่าไม่มีหนี้ที่จะต้องชำระตามจำนวนที่ผู้คัดค้านแจ้งยืนยัน หากศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาให้ผู้ร้องชนะคดี ทุกข์ของผู้ร้องย่อมปลดเปลื้องไปเท่ากับจำนวนเงินที่ผู้ร้องไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ อุทธรณ์ของผู้ร้องจึงเป็นคำฟ้องซึ่งมีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ตามจำนวนหนี้ที่ผู้ร้องไม่ต้องรับผิดตามที่ศาลชั้นต้นยกคำร้องของผู้ร้องนั้นอันเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ตามตาราง 1 ข้อ (1)(ก) ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 179 วรรคท้ายซึ่งผู้ร้องต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์อย่างคดีมีทุนทรัพย์ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ผู้ร้องนำค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ที่ยังขาดอยู่มาชำระ แต่ผู้ร้องไม่ชำระ จึงเป็นการทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2),246ประกอบพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153ศาลอุทธรณ์ต้องมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความตามมาตรา 132(1) ประกอบพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 153 ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ผู้ร้องไม่นำเงินค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ที่ยังขาดอยู่มาชำระภายในกำหนดอุทธรณ์ของผู้ร้องจึงเป็นอุทธรณ์ที่ต้องห้ามตามกฎหมายและพิพากษายกอุทธรณ์ของผู้ร้อง เช่นนี้ คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์จึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2528 ผู้คัดค้านได้มีหนังสือลงวันที่13 กันยายน 2528 และวันที่ 7 เมษายน 2530 ตามลำดับ ให้ผู้ร้องชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 12,500,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19.5 ต่อปี นับแต่วันที่17 ตุลาคม 2526 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้คัดค้านภายใน14 วัน ผู้ร้องปฏิเสธหนี้ภายในกำหนดผู้คัดค้านสอบสวนแล้วฟังว่าผู้ร้องได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน และผู้ร้องไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าผู้ร้องมิได้เป็นหนี้จริง จึงต้องรับผิดตามตั๋วสัญญาใช้เงินและได้มีหนังสือยืนยันหนี้ให้ผู้ร้องชำระหนี้ดังกล่าว
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องไม่เคยเป็นหนี้จำเลย ผู้ร้องไม่เคยกู้ยืมเงินจากจำเลยและไม่เคยออกตั๋วสัญญาใช้เงิน การที่จะให้กู้ยืมเงินหรือออกตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวนเป็นล้านบาท จำเลยจะต้องให้มีประกันทุกราย และลายมือชื่อผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินก็เป็นภาษาจีนซึ่งมิใช่ลายมือชื่อของผู้ร้อง ผู้ร้องเขียนและอ่านภาษาจีนไม่ได้ ลายมือชื่อในตัวสัญญาใช้เงินเป็นลายมือชื่อปลอมขอให้ยกคำสั่งของผู้คัดค้านที่ยืนยันให้ผู้ร้องชำระหนี้จำนวน12,500,000 บาท
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ตั๋วสัญญาใช้เงินเลขที่ 010/2526ลงวันที่ 17 ตุลาคม 2526 จำนวนเงิน 12,500,000 บาทซึ่งผู้ร้องลงลายมือชื่อเป็นผู้ออกตั๋วอยู่ในตู้เซฟซึ่งผู้คัดค้านยึดมาจากจำเลย เมื่อได้ตรวจสอบแล้วตรงกับบัญชีลูกหนี้ของจำเลย ผู้คัดค้านจึงได้มีหนังสือทวงหนี้ไปยังผู้ร้องและเมื่อผู้ร้องปฏิเสธหนี้ ผู้คัดค้านได้สอบสวนผู้ร้องแล้ว แต่พยานหลักฐานของผู้ร้องเลื่อนลอยไม่อาจหักล้างหนี้ได้ ผู้ร้องเคยลงลายมือชื่อเป็นภาษาจีนและได้ลงลายมือชื่อไว้กับจำเลยเพื่อขอกู้เงินหลายครั้ง แต่ละลายมือชื่อแตกต่างกันขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ และส่งสำนวนไปศาลอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ทำคำพิพากษาเสร็จแล้วส่งไปให้ศาลชั้นต้น โดยก่อนอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้คู่ความฟัง ให้ศาลชั้นต้นเรียกผู้ร้องนำค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์อย่างคดีมีทุนทรัพย์ที่ยังขาดอยู่มาชำระให้ครบถ้วนเสียก่อน ภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดศาลชั้นต้นสั่งให้ผู้ร้องนำค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ที่ยังขาดอยู่มาชำระภายใน 15 วันผู้ร้องยื่นคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วส่งไปให้ศาลอุทธรณ์สั่งศาลอุทธรณ์เห็นว่าตามทางไต่สวนยังไม่พอฟังว่าผู้ร้องเป็นคนยากจน ไม่มีทรัพย์สินพอที่จะเสียค่าธรรมเนียมศาล ให้ยกคำร้อง หากผู้ร้องประสงค์ที่จะดำเนินคดีต่อไปให้นำเงินค่าธรรมเนียมศาลมาชำระภายใน30 วัน นับแต่วันทราบคำสั่ง ศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งของศาลอุทธรณ์ให้ผู้ร้องฟังเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2535 ต่อมาผู้ร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลสามครั้ง ศาลชั้นต้นอนุญาตแต่ปรากฏว่าผู้ร้องไม่นำค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ที่ยังขาดอยู่มาชำระภายในกำหนดศาลชั้นต้นจึงส่งสำนวนไปศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าอุทธรณ์ของผู้ร้องเป็นอุทธรณ์ที่ต้องห้ามตามกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัย พิพากษายกอุทธรณ์ของผู้ร้อง
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ผู้ร้องฎีกาว่าการร้องคัดค้านการยืนยันหนี้ของผู้คัดค้านตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 119ถือไม่ได้ว่าเป็นคำฟ้องเพราะผู้ร้องไม่ได้เรียกร้องอะไรเอาจากกองทรัพย์สินของผู้ล้มละลายผู้ร้องเพียงปฏิเสธว่าตนไม่ได้เป็นหนี้ตามที่ผู้คัดค้านเรียกร้องและขณะยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นก็ยังเรียกเก็บค่าคำร้อง 20 บาท เท่านั้น จึงต้องถือว่าเป็นคดีที่ขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวนเป็นราคาเงินได้ที่ศาลอุทธรณ์ให้ผู้ร้องเสียค่าขึ้นศาลอย่างเป็นคดีมีทุนทรัพย์จึงไม่ชอบนั้น พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ที่ศาลชั้นต้นเรียกเก็บค่าคำร้องขณะยื่นคำร้องจากผู้ร้องเพียง 20 บาท ก็เนื่องจากตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 119 วรรคสองและวรรคสามบัญญัติให้บุคคลที่ได้รับแจ้งความยืนยันหนี้คัดค้านต่อศาลโดยทำเป็นคำร้องภายในกำหนดเวลาสิบสี่วันนับแต่ได้รับแจ้งความยืนยัน และตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 179 มิได้บัญญัติเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมคำร้องไว้โดยเฉพาะจึงต้องนำตาราง 2(3) ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งกำหนดให้คู่ความเสียค่าธรรมเนียมการยื่นคำขออื่น ๆ ที่ต้องทำเป็นคำร้องเพียง20 บาท มาใช้บังคับ สำหรับชั้นอุทธรณ์นั้น ตามบทบัญญัติดังกล่าวมิได้ให้คู่ความทำเป็นคำร้องและตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 179 วรรคท้าย บัญญัติให้คิดอัตราเดียวกับค่าธรรมเนียมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฉะนั้น เมื่อผู้ร้องอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ว่า ผู้ร้องไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ตามที่ศาลชั้นต้นยกคำร้องของผู้ร้องที่ขอให้ยกคำสั่งของผู้คัดค้านที่ยืนยันให้ผู้ร้องชำระหนี้ โดยอ้างว่าไม่มีหนี้ที่จะต้องชำระตามจำนวนที่ผู้คัดค้านแจ้งยืนยัน หากศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาให้ผู้ร้องชนะคดี ทุกข์ของผู้ร้องย่อมปลดเปลื้องไปเท่ากับจำนวนเงินที่ผู้ร้องไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ อุทธรณ์ของผู้ร้องจึงเป็นคำฟ้องซึ่งมีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ตามจำนวนหนี้ที่ผู้ร้องไม่ต้องรับผิดตามที่ศาลชั้นต้นยกคำร้องของผู้ร้องนั้น อันเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ตามตาราง 1 ข้อ(1)(ก)ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 179 วรรคท้ายซึ่งผู้ร้องต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์อย่างคดีมีทุนทรัพย์ฎีกาผู้ร้องฟังไม่ขึ้น เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ผู้ร้องนำค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ที่ยังขาดอยู่มาชำระ แต่ผู้ร้องไม่ชำระจึงเป็นการทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 174(2), 246 ประกอบพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 153 ศาลอุทธรณ์ต้องมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความตามมาตรา 132(1) ประกอบพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153 ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าผู้ร้องไม่นำเงินค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ที่ยังขาดอยู่มาชำระภายในกำหนด อุทธรณ์ของผู้ร้อง จึงเป็นอุทธรณ์ที่ต้องห้ามตามกฎหมายและพิพากษายกอุทธรณ์ของผู้ร้องเช่นนี้คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์จึงไม่ชอบด้วยกระบวนวิธีพิจารณาสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้จำหน่ายคดีผู้ร้องเสียจากสารบบความ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share