คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2832/2538

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยได้นำน้ำส้มผสมยาฆ่าแมลงไปถวายพระภิกษุผู้เสียหายโดยเจตนาฆ่าผู้เสียหายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนแม้จำเลยจะมีเจตนาฆ่าเฉพาะผู้เสียหายแต่เมื่อผลแห่งการกระทำเกิดขึ้นแก่ผู้ตายโดยพลาดไปก็ต้องถือว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา60ด้วยจำเลยมีความผิดตามมาตรา289(4)ประกอบด้วยมาตรา80และมาตรา289(4)ประกอบด้วยมาตรา60

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยโดยเจตนาฆ่าและโดยไตร่ตรองไว้ก่อนได้นำน้ำส้มบรรจุขวดยี่ห้อซันโตรี่ ซึ่งผสมสารเคมีกำจัดแมลงประเภทคาร์บาเมต ชนิดเมทโธมิล อันเป็นสารพิษมีผลต่อร่างกายมนุษย์เมื่อรับประทานเข้าไปจะทำให้เสียชีวิตได้ จำนวน 1 ขวด กับน้ำส้มบรรจุขวดยี่ห้อเดียวกันอีก 5 ขวด ซึ่งไม่ได้ผสมสารพิษดังกล่าวและจำเลยได้เตรียมไว้ก่อนแล้วไปให้พระภิกษุถาวร ถาวระธรรมโมผู้เสียหายในขณะที่อยู่กับพระภิกษุจตุรงค์ พงษพิมาย ผู้ตายเพื่อให้ผู้เสียหายดื่มสารเคมีซึ่งผสมอยู่ในน้ำส้มดังกล่าว จำเลยได้ลงมือกระทำผิดไปโดยตลอดแล้ว แต่การกระทำไม่บรรลุผล เพราะผู้เสียหายไม่ได้ดื่มน้ำส้มซึ่งผสมสารเคมีขวดดังกล่าวทำให้ผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความตาย แต่ผลของการกระทำของจำเลยได้พลาดไปยังผู้ตายโดยผู้ตายได้ดื่มน้ำส้มขวดที่ผสมสารเคมีดังกล่าวข้างต้นแทนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะพิษของสารเคมีซึ่งผสมในน้ำส้ม ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 60, 80,289 และริบของกลาง
จำเลย ให้การ ปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ของกลางริบ โจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289(4) ประกอบด้วยมาตรา 60 ลงโทษประหารชีวิตจำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบด้วยมาตรา 52(1) จำคุกตลอดชีวิต ของกลางริบจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่ที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยได้นำน้ำส้มยี่ห้อซันโตรี่จำนวน 6 ขวด ไปถวายผู้เสียหาย เมื่อผู้เสียหายแบ่งให้ผู้ตายดื่ม1 ขวด ปรากฏว่าหลังจากผู้ตายดื่มน้ำส้มที่จำเลยนำไปถวายแล้วได้ถึงแก่ความตาย เนื่องจากในน้ำส้มดังกล่าวมียาฆ่าแมลงซึ่งเป็นสารพิษเจือปนอยู่ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดจริงตามฟ้องหรือไม่ ปรากฏว่า ในชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพ แต่เมื่อถูกฟ้องคดีจำเลยกลับให้การปฏิเสธ ในชั้นพิจารณาโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานที่รู้เห็นเหตุการณ์ในขณะเกิดเหตุเข้าเบิกความเป็นพยาน ในเบื้องต้นจึงเห็นสมควรวินิจฉัยเสียก่อนว่าในชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพด้วยความสมัครใจและตามความเป็นจริงหรือไม่ เห็นว่า พนักงานสอบสวนได้บันทึกคำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนของจำเลยไว้ ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.14 ตามเอกสารดังกล่าว นอกจากจะเป็นคำรับสารภาพว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดแล้ว ยังปรากฏรายละเอียดและขั้นตอนของการกระทำผิดรวมตลอดถึงสิ่งของที่ใช้ในการกระทำความผิดด้วย โดยเฉพาะยาฆ่าแมลงที่จำเลยใช้ผสมลงในน้ำส้มที่นำไปถวายผู้เสียหายซึ่งจำเลยอ้างว่าไปขอมาจากนายสอิ้ง พรมออก นั้น นายสอิ้งซึ่งเป็นพยานโจทก์ก็เบิกความรับรองว่าเป็นความจริง นอกจากนี้เมื่อมีการส่งน้ำส้มที่ยังเหลืออยู่และน้ำในกระเพาะของผู้ตายไปทำการตรวจพิสูจน์ก็ปรากฏว่า น้ำในกระเพาะของผู้ตายและในน้ำส้มที่ยังเหลืออยู่มีสารเคมีกำจัดแมลงชนิดเดียวกันเจือปนอยู่ ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว เห็นว่า คำรับสารภาพในชั้นสอบสวนของจำเลยกอปรด้วยเหตุผล มีรายละเอียดสอดคล้องเชื่อมโยงกับพฤติการณ์แห่งคดีจึงเชื่อว่าจำเลยรับสารภาพในชั้นสอบสวนด้วยความสมัครใจและตามความเป็นจริง ที่จำเลยอ้างว่าถูกพนักงานตำรวจข่มขู่ให้รับสารภาพนั้น เป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ โดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นสนับสนุน ข้ออ้างของจำเลยจึงฟังไม่ขึ้น คดีนี้นอกจากจำเลยจะให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนแล้ว จำเลยยังนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพให้พนักงานสอบสวนทำบันทึกและถ่ายภาพประกอบไว้ด้วย ดังปรากฏตามเอกสารหมาย ป.จ.3 และป.จ.4 ประกอบกับได้ความจากนายเชื้อ บพิตร และนายจันทร์ คงดีพยานโจทก์ว่า ก่อนเกิดเหตุพยานได้ไปที่กระท่อมนาของจำเลยเพื่อพูดห้ามปรามมิให้จำเลยฆ่าผู้เสียหาย พยานได้พบน้ำส้มชนิดเดียวกับที่ผู้ตายดื่มอยู่ที่กระท่อมนาของจำเลยจำนวน 6 ขวด ดังนี้เมื่อพิจารณาพยานหลักฐานดังกล่าวประกอบกันแล้ว ศาลฎีกาเชื่อว่าจำเลยได้นำน้ำส้มผสมยาฆ่าแมลงไปถวายผู้เสียหาย โดยเจตนาฆ่าผู้เสียหายซึ่งเมื่อพิเคราะห์ถึงสภาพและพฤติการณ์แห่งคดีแล้วการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำความผิดโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและแม้จำเลยจะมีเจตนาฆ่าเฉพาะผู้เสียหาย แต่เมื่อผลแห่งการกระทำเกิดขึ้นแก่ผู้ตายโดยพลาดไปก็ต้องถือว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 60 ด้วยฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ปรับบทลงโทษจำเลยฐานฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289(4) ประกอบด้วย มาตรา 60 เพียงบทเดียวยังไม่ถูกต้องเพราะการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4) ประกอบด้วยมาตรา 80 อีกบทหนึ่งด้วย ศาลฎีกาเห็นควรแก้เสียให้ถูกต้อง”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289(4) ประกอบด้วยมาตรา 80 และมาตรา 289(4)ประกอบด้วยมาตรา 60 ลงโทษตามมาตรา 289(4) ประกอบมาตรา60 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

Share