คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2831/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

บ.ทำสัญญาขายที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่โจทก์ แต่ขณะทำสัญญา บ. ป่วยไม่สามารถไปจัดการโอนได้และได้มอบที่ดินให้โจทก์เข้าครอบครองนับแต่วันทำสัญญา การที่ บ.ยอมให้โจทก์เข้าครอบครองที่ดินดังกล่าวนับเป็นการสละเจตนาครอบครองและไม่ยึดถือที่ดินนั้นต่อไป ดังนั้น ที่โจทก์ได้เข้าครอบครองที่ดินต่อมาจึงเป็นการยึดถือโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตน โจทก์ย่อมได้สิทธิครอบครอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นายบุญยืนกับนางลัดดาทำสัญญาขายที่ดิน น.ส.31 แปลงให้โจทก์และนายแปงสามีโจทก์ และได้มอบการครอบครองให้แล้วแต่ตกลงว่าจะให้เจ้าหน้าที่รังวัดและโอนที่ดินภายหลัง เมื่อนายแปงถึงแก่กรรม โจทก์ได้ครอบครองแต่ผู้เดียว จำเลยทั้งสามบุกรุกที่ดินดังกล่าวโดยอ้างว่าได้รับมรดกจากนายบุญยืน ขอให้พิพากษาว่าที่ดินเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยทั้งสามเข้าเกี่ยวข้อง จำเลยทั้งสามให้การว่า นายบุญยืนไม่เคยทำสัญญาขายที่ดินตามฟ้อง และไม่เคยส่งมอบการครอบครองที่ดินแก่โจทก์ โจทก์เป็นผู้อาศัยนายบุญยืนอยู่ในที่ดิน ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินตามฟ้อง ห้ามจำเลยทั้งสามเข้าเกี่ยวข้อง จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ซึ่งเดิมมีชื่อนายบุญยืนและนางลัดดาเป็นผู้ถือสิทธิครอบครองเป็นเจ้าของครั้นเมื่อปี พ.ศ. 2516 หลังจากที่นายบุญยืนถึงแก่กรรมแล้วที่ดินพิพาทมีการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงว่า จำเลยทั้งสามเป็นผู้รับมรดกที่ดินส่วนของนายบุญยืนผู้ตาย มีการไถ่ถอนจำนองที่ดินจากสหกรณ์ตลาดขวัญแล้วนางลัดดาขายที่ดินส่วนของตนให้แก่นายแปงสามีโจทก์ปัญหาวินิจฉัยมีว่า ที่ดินพิพาททั้งแปลงเป็นของโจทก์มีสิทธิครอบครองหรือไม่ นอกจากตัวโจทก์เบิกความแล้วโจทก์มีนายบุญเป็ง การคนซื่อนายอุ่นเรือน ไชยวรรณ นายอินทร์ กล้าหาญ นายทอง คิดการงานและนายสม แก้วทิพย์ เป็นพยานสนับสนุนว่า นายบุญยืนและนางลัดดาได้ทำสัญญาขายที่ดินพิพาทให้โจทก์และนายแปงสามีตามเอกสารหมาย จ.2 เมื่อทำสัญญาซื้อขายแล้วโจทก์และสามีได้เข้าครอบครองที่ดินและปลูกไม้ผล กับปลูกเรือนในที่ดินพิพาท จนกระทั่งต่อมาโจทก์ได้รื้อเรือนออกไป คงมีกระท่อมปลูกอยู่ 1 หลังจำเลยทั้งสามนำสืบว่าลายมือชื่อผู้ขายในสัญญาซื้อขายที่ดินไม่ใช่ลายมือของนายบุญยืนจำเลยทั้งสามรับมรดกที่ดินพิพาทในส่วนที่เป็นของนายบุญยืนแล้วได้ให้นายแปงครอบครองดูแลแทน เป็นเพียงการกล่าวอ้างขึ้นลอย ๆ โดยไม่มีหลักฐานยืนยัน พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานที่จำเลยทั้งสามนำสืบ น่าเชื่อว่านายบุญยืนและนางลัดดาทำสัญญาขายที่ดินพิพาทให้โจทก์และนายแปงตามเอกสารหมาย จ.2 โดยตามสัญญาซื้อขายที่ดินดังกล่าวระบุข้อความว่า ขณะทำสัญญากันนั้น นายบุญยืนป่วยไม่สามารถจัดการเพื่อโอนที่ดินที่ขายได้ ได้มอบที่ดินพิพาทให้โจทก์และนายแปงเข้าครอบครองนับแต่วันทำสัญญา เมื่อทำสัญญากันแล้วโจทก์และนายแปงได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมา โดยเข้าไปทำการปลูกเรือนและไม้ผลซึ่งการที่นายบุญยืนและนางลัดดายอมให้โจทก์และนายแปงเข้าครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่วันทำสัญญาซื้อขายนั้นเป็นการสละเจตนาครอบครองและไม่ยึดถือที่ดินพิพาทต่อไป การที่โจทก์และนายแปงผู้ซื้อได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทต่อมาเป็นการยึดถือที่ดินพิพาทโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตน โจทก์และนายแปงย่อมได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่า ที่ดินพิพาททั้งแปลงเป็นของโจทก์มีสิทธิครอบครองชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share