คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2830/2524

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 เป็นพนักงานในหน่วยงานของรัฐ โดยเป็นเสมียนสถานธนานุเคราะห์สังกัดกรมประชาสงเคราะห์ มีหน้าที่เขียนตั๋วรับจำนำ จำเลยที่ 2 พิมพ์ลายนิ้วมือของตนในตั๋วรับจำนำซึ่งมีชื่อผู้อื่นเป็นผู้จำนำ แสดงออกว่าเป็นลายพิมพ์นิ้วมือของผู้จำนำ มีความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิ
พฤติการณ์ซึ่งจำเลยที่ 2 ปลอมตั๋วรับจำนำ แสดงว่ามีเจตนาทุจริต การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานธนานุเคราะห์กรมประชาสงเคราะห์ จึงเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 อีกบทหนึ่งด้วย
คดีความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิและความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 11 พนักงานอัยการไม่มีสิทธิขอให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์แทนผู้เสียหาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองกับพวกอีก ๓ คนซึ่งเป็นพนักงานในหน่วยงานของรัฐวิสาหกิจ สถานธนานุเคราะห์ ๕ สำนักงานธนานุเคราะห์ กรมประชาสงเคราะห์ ได้ร่วมกันปลอมตั๋วรับจำนำซึ่งเป็นเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการของสำนักงานธนานุเคราะห์รวม ๕๓๖ ฉบับ เพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าตั๋วรับจำนำดังกล่าวเป็นเอกสารที่แท้จริง โดยประการที่น่าจะเสียหายแก่ผู้อื่น หรือประชาชน หรือกรมประชาสงเคราะห์ ทั้งจำเลยทั้งสองกับพวกได้ร่วมกันนำตั๋วรับจำนำปลอมดังกล่าวเบิกเงินค่ารับจำนำของสำนักงานธนานุเคราะห์ ซึ่งอยู่ในความครอบครองของจำเลยกับพวก เบียดบังเป็นของตนเองหรือผู้อื่นโดยทุจริต อันเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานธนานุเคราะห์ กรมประชาสงเคราะห์คิดรวมทั้งดอกเบี้ยแล้ว เป็นเงิน ๓,๑๘๗,๙๓๓.๗๕ บาท ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๐๒ มาตรา ๔, ๑๑ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๕๒, ๒๖๔, ๒๖๕, ๒๖๖, ๒๖๘, ๘๓ และสั่งให้จำเลยกับพวกร่วมกันคืนเงิน ๓,๑๘๗,๙๓๓.๗๕ บาท แก่สำนักงานธนานุเคราะห์กรมประชาสงเคราะห์ด้วย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๐๒ มาตรา ๔, ๑๑ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๕,๒๖๘, ๘๓ เฉพาะความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานฯ มาตรา ๔ นั้น จำเลยที่ ๒ เป็นเพียงผู้สนับสนุนจำคุกจำเลยที่ ๑ มีกำหนด ๙ ปี จำคุกจำเลยที่ ๒ มีกำหนด ๖ ปี ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงิน ๒,๙๙๙,๔๐๐ บาท แก่สำนักงานธนานุเคราะห์กรมประชาสงเคราะห์ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พยานหลักฐานของโจทก์ยังไม่พอฟังลงโทษจำเลยที่ ๑ ตามข้อกล่าวหา ส่วนคดีสำหรับจำเลยที่ ๒ นั้นโจทก์ไม่มีหลักฐานแสดงว่าจำเลยที่ ๒ ร่วมกับนางสิเนห์ยักยอกทรัพย์สิ่งของที่รับจำนำ แต่ข้อเท็จจริงก็ฟังได้ว่าจำเลยที่ ๒ พิมพ์ลายนิ้วมือของตนในตั๋วรับจำนำซึ่งมีชื่อผู้อื่นเป็นผู้จำนำจำนวนมาก ตั๋วรับจำนำบางฉบับจำเลยที่ ๒ เป็นผู้กรอกข้อความเองการที่จำเลยที่ ๒ พิมพ์ลายนิ้วมือแสดงออกว่าเป็นลายพิมพ์นิ้วมือของผู้รับจำนำเช่นนั้นย่อมมีความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิซึ่งความผิดฐานนี้โจทก์ได้บรรยายฟ้องไว้เพียงพอที่จำเลยที่ ๒ จะเข้าใจข้อหาได้แล้วหาเป็นฟ้องที่คลุมเครือดังจำเลยที่ ๒ ฎีกาไม่การจำนำทรัพย์สิ่งของนั้นได้ความว่า มีระเบียบห้ามพนักงานของสถานธนานุเคราะห์นั้นเป็นผู้จำนำ และตามข้อเท็จจริงในคดีนี้ก็ไม่ปรากฏว่าตั๋วรับจำนำที่มีลายพิมพ์นิ้วมือของจำเลยที่ ๒ ดังกล่าวนั้น ผู้ใดแสดงตนเป็นผู้จำนำและจำเลยที่ ๒ มีส่วนร่วมในการใช้ตั๋วรับจำนำนั้นอย่างไร จึงไม่พอฟังว่าจำเลยที่ ๒ กระทำความผิดฐานใช้เอกสารปลอมแต่โดยเหตุที่จำเลยที่ ๒ มีหน้าที่เขียนตั๋วรับจำนำพฤติการณ์ที่จำเลยที่ ๒ ปลอมตั๋วรับจำนำดังกล่าวเห็นได้ว่ามีเจตนาทุจริตการกระทำของจำเลยที่ ๒ เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานธนานุเคราะห์กรมประชาสงเคราะห์ แต่ความผิดทั้งสองฐานนี้พนักงานอัยการโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ ๒ คืนหรือใช้ราคาทรัพย์แทนผู้เสียหาย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๑ ส่วนจำเลยที่ ๒ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา เฉพาะมาตรา ๒๖๕ และมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๐๒ เฉพาะมาตรา ๑๑ ให้ลงโทษจำเลยที่ ๒ ตามมาตรา ๑๑ ดังกล่าวซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุก ๕ ปี คำขอให้จำเลยคืนเงินแก่ผู้เสียหายให้ยกเสีย

Share