แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เดิมบิดาโจทก์ได้รับประทานบัตรให้ทำเหมืองแร่ในที่พิพาทบิดาโจทก์ถึงแก่กรรม โจทก์ได้รับมรดกสิทธิตามประทานบัตรโดยถูกต้องตามกฎหมายเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2499 ประทานบัตรนี้สิ้นอายุในวันที่ 31 มีนาคม 2507 วันที่ 9 มกราคม 2507 โจทก์ขอต่ออายุ ต่อมารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมได้ต่ออายุประทานบัตรให้โจทก์12 ปีตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2507 เป็นต้นไปประทานบัตรของโจทก์จึงมิได้ขาดต่ออายุ จำเลยอ้างว่าพ. เข้าแผ้วถางปลูกพืชพันธ์ในที่พิพาทอยู่ 9 ปีแล้วขายให้จำเลยเมื่อปี พ.ศ. 2513 ดังนี้สิทธิของโจทก์ตามประทานบัตรจึงมีอยู่ก่อน พ. เข้าไปยึดถือครอบครอง และขณะฟ้องโจทก์ก็ยังมีสิทธิตามประทานบัตรนั้นอยู่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องด้วยว่า โจทก์ครอบครองที่พิพาทโดยได้รับประทานบัตรทำเหมืองแร่ในที่พิพาท โจทก์เสียภาษีและค่าธรรมเนียมประทานบัตรตลอดมา จำเลยบุกรุกเข้าไปปลูกต้นผลอาสินทำรั้วในที่พิพาท ขอให้ขับไล่ ฟ้องเช่นนี้ถือได้ว่าโจทก์ฟ้องจำเลยตามสิทธิประทานบัตรตามพระราชบัญญัติแร่พ.ศ. 2510 ด้วย
พ. ผู้ที่จำเลยอ้างว่าได้ขายหรือมอบที่พิพาทให้จำเลยก็ดี จำเลยก็ดีเข้าไปปลูกต้นผลอาสิน สร้างรั้ว หรืออาคารลงในที่พิพาท เป็นการยึดถือครอบครองในเขตพื้นที่ประทานบัตรของโจทก์ โดยไม่ปรากฏว่ามีสิทธิที่จะทำได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ถือได้ว่าเป็นการฝ่าฝืนสิทธิของโจทก์ผู้ถือประทานบัตร โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยได้
การได้รับประทานบัตรให้ทำเหมืองแร่ ไม่ทำให้โจทก์ได้สิทธิครอบครองที่ดินเขตประทานบัตร กรณีไม่ใช่เรื่องฟ้องเรียกคืนสิทธิครอบครองจากผู้แย่งการครอบครองจะนำเอาสิทธิฟ้องคดีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 มาปรับแก่คดีหาได้ไม่ ต้องปรับด้วยอายุความทั่วไปตามมาตรา 164 และการพ้นอายุความก็ต้องนับแต่มีการบุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองที่พิพาท เมื่อจำเลยเข้าไปครอบครองที่พิพาทยังไม่ถึง 10 ปี คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดิน 3 แปลงมา 16 ปี ตามประทานบัตร โจทก์ได้ครอบครองในฐานะเป็นเจ้าของมาโดยสงบเปิดเผยไม่เคยทอดทิ้ง ได้เสียภาษีและค่าธรรมเนียมประทานบัตรตลอดมา เมื่อเดือนมีนาคม 2515 ปรากฏว่าจำเลยได้บุกรุกเข้ามาปลูกต้นผลอาสินทำรั้วแสดงตนเป็นเจ้าของในที่ดินเนื้อที่ประมาณ 10 ไร่ และคัดค้านการต่ออายุประทานบัตรในที่ดินของโจทก์ โจทก์ให้จำเลยรื้อถอนรั้วและต้นผลอาสินออกไป จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับขับไล่
จำเลยให้การว่า ที่พิพาทจำเลยซื้อจากผู้มีชื่อเมื่อ พ.ศ. 2513 แล้วเข้าครอบครองยึดถือเพื่อตนโดยสงบและเปิดเผยปลูกห้องแถวและต้นผลอาสินประทานบัตรที่โจทก์อ้างสิ้นอายุแล้ว สิทธิครอบครองของโจทก์สิ้นสุดลงด้วยไม่มีอำนาจฟ้อง และนำสืบว่านายไพจิตร จันทร์แก้วเข้าแผ้วถางปลูกพืชพันธ์ในที่พิพาท 9 ปีแล้วขายให้จำเลยเมื่อปี พ.ศ. 2513 จำเลยครอบครองต่อมา
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คดีโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ที่พิพาทอยู่ในเขตประทานบัตรของโจทก์จำเลยละเมิดสิทธิของโจทก์ พิพากษากลับให้ขับไล่
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่พิพาทอยู่ในเขตประทานบัตรเลขที่ 7915 ของโจทก์มีปัญหาว่า ขณะโจทก์ฟ้องคดีนี้โจทก์ขาดต่ออายุประทานบัตรดังกล่าวหรือไม่ได้ความว่าเดิมบิดาโจทก์ได้รับประทานบัตรดังกล่าว บิดาโจทก์ถึงแก่กรรม โจทก์ได้รับมรดกสิทธิตามประทานบัตรนี้มาโดยถูกต้องตามกฎหมาย เมื่อวันที่ 16กุมภาพันธ์ 2499 โจทก์จึงเป็นผู้ถือประทานบัตรตามกฎหมาย ประทานบัตรนี้สิ้นอายุวันที่ 31 มีนาคม 2507 ครั้นวันที่ 9 มกราคม 2507 อันเป็นเวลาก่อนประทานบัตรสิ้นอายุโจทก์มอบอำนาจให้นายเอก ทวีผลยื่นขอต่ออายุประทานบัตรนี้แล้ว ต่อมารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมได้ต่ออายุประทานบัตรให้โจทก์12 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2507 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2519 ประทานบัตรของโจทก์จึงมิได้ขาดต่ออายุสิทธิของโจทก์ตามประทานบัตรจึงมีอยู่ก่อนผู้ที่จำเลยอ้างว่าได้ขายที่พิพาทให้ จำเลยเข้าไปยึดถือครอบครองและขณะฟ้องโจทก์ยังมีสิทธิตามประทานบัตรนั้นอยู่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
ปัญหาที่ว่า โจทก์ฟ้องจำเลยตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 ด้วยหรือไม่นั้น โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์ครอบครองที่พิพาทโดยได้รับประทานบัตรทำเหมืองแร่ในที่อันนั้น โจทก์เสียภาษีและค่าธรรมเนียมประทานบัตรตลอดมาจำเลยบุกรุกเข้าไปปลูกต้นผลอาสินและทำรั้วในที่พิพาทขอให้ขับไล่ เช่นนี้ถือได้ว่าโจทก์ได้ฟ้องจำเลยตามสิทธิประทานบัตรด้วย แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่าโจทก์ครอบครองที่พิพาทในฐานะเป็นเจ้าของโดยสงบและเปิดเผยด้วยก็ตามเป็นการบรรยายเกินเลยไปโดยเข้าใจผิดว่า โจทก์ได้สิทธิครอบครองที่ดินในเขตประทานบัตรด้วยเท่านั้น
การที่นายไพจิตร จันทร์แก้ว ผู้ที่จำเลยอ้างว่าได้ขายหรือมอบที่พิพาทให้จำเลยก็ดี จำเลยก็ดีบุกรุกเข้าไปปลูกต้นผลอาสินและสร้างรั้วหรืออาคาร ลงในที่พิพาทนั้นเป็นการเข้าไปยึดถือครอบครองที่พิพาทอันอยู่ในเขตพื้นที่ในประทานบัตรของโจทก์ ทั้งนี้จำเลยนำสืบไม่ได้ว่าจำเลยมีสิทธิเข้าไปยึดถือครอบครองที่นั้นได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ถือได้ว่าจำเลยฝ่าฝืนสิทธิของโจทก์ผู้ถือประทานบัตรตามความในมาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง ขอให้ขับไล่จำเลยได้
ปัญหาต่อไปว่า คดีโจทก์ขาดอายุความฟ้องร้องแล้วหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า เนื่องจากโจทก์ไม่ได้สิทธิครอบครองที่ดินเขตประทานบัตรด้วย จึงมิใช่เรื่องฟ้องเรียกคืนสิทธิครอบครองจากผู้แย่งการครอบครอง จะนำเอาสิทธิฟ้องคดีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 มาปรับแก่คดีหาได้ไม่อายุความในคดีนี้ต้องปรับด้วยอายุความทั่วไปตามมาตรา 164 และการนับอายุความก็ต้องนับแต่มีการบุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองที่พิพาท ศาลฎีกาฟังว่าจำเลยเข้าไปครอบครองที่พิพาทยังไม่ถึง 10 ปี คดีโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ
พิพากษายืน