แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ทั้งเจ็ดฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง คดีจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาใน ศาลแขวงพ.ศ. 2499 มาตรา 22 โจทก์อุทธรณ์ว่าศาลชั้นต้นรับฟังเอกสารของโจทก์ที่ 7 แล้วพิจารณาตัดสินเป็นโทษแก่โจทก์คนอื่น ๆ ด้วย เป็นการพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายวิธีพิจารณา และศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงไม่ครบถ้วนถูกต้อง เป็นอุทธรณ์โต้แย้งคัดค้านดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้น ซึ่งเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว การที่ศาลอุทธรณ์สั่งรับอุทธรณ์และวินิจฉัยมาในฐานะเป็นปัญหาข้อกฎหมาย จึงเป็นการไม่ชอบ โจทก์จะฎีกาในปัญหาดังกล่าวต่อมาไม่ได้ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันหลอกลวงโจทก์ทั้งเจ็ดด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงอันควรบอกให้แจ้งว่าจำเลยทั้งสามสามารถจัดหางานให้แก่โจทก์ทั้งเจ็ดทำได้ที่ประเทศซาอุดีอาระเบีย แต่โจทก์ทั้งเจ็ดต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นค่าเดินทางและค่าตอบแทนแก่จำเลยทั้งสาม โจทก์ทั้งเจ็ดหลงเชื่อจึงมอบเงินคนละจำนวนให้แก่จำเลยทั้งสาม ความจริงจำเลยทั้งสามรู้อยู่แล้วว่าไม่สามารถส่งโจทก์ทั้งเจ็ดไปทำงานยังประเทศดังกล่าวได้ ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑, ๘๓, ๙๑
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูลให้ประทับฟ้อง
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การปฏิเสธ จำเลยที่ ๓ หลบหนีศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ ๓ ชั่วคราว
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งเจ็ดอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์เพราะเป็นปัญหาข้อเท็จจริง โจทก์ทั้งเจ็ดยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของโจทก์เฉพาะข้อ ๒.๒ และ ๒.๔ ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว พิพากษายืน
โจทก์ทั้งเจ็ดฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ทั้งเจ็ดฎีกาปัญหาเดียวกับอุทธรณ์ในข้อ ๒.๒ และ ๒.๔ ซึ่งศาลอุทธรณ์รับอุทธรณ์ไว้ในฐานะเป็นปัญหาข้อกฎหมายศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว คดีนี้โจทก์ทั้งเจ็ดฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง คดีจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. ๒๔๙๙ มาตรา ๒๒ โจทก์อุทธรณ์ในข้อ ๒.๒ ว่า ศาลชั้นต้นรับฟังพยานเอกสารของโจทก์ที่ ๗ แล้วพิจารณาตัดสินเป็นโทษแก่โจทก์คนอื่นๆ ด้วย เป็นการพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายวิธีพิจารณา และอุทธรณ์ในข้อ ๒.๔ ว่า ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงไม่ครบถ้วยถูกต้อง แล้ววินิจฉัยว่าคำเบิกความของโจทก์ที่ ๒ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องขัดกับคำเบิกความของโจทก์ที่ ๒ ในชั้นพิจารณา ซึ่งความจริงคำเบิกความของโจทก์ที่ ๒ หาขัดกันไม่ เห็นว่า อุทธรณ์ทั้งสองข้อนั้นเป็นอุทธรณ์โต้แย้งคัดค้านดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้น ซึ่งเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น การที่ศาลอุทธรณ์รับอุทธรณ์และวินิจฉัยมในฐานะเป็นปัญหาข้อกฎหมาย จึงเป็นการไม่ชอบ โจทก์จะฎีกาในปัญหาดังกล่าวต่อมาไม่ได้ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และยกฎีกาโจทก์ทั้งเจ็ด.