คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2820/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้คำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายจะเป็นพยานบอกเล่าแต่กฎหมายก็ไม่ได้ห้ามไม่ให้รับฟัง เพียงแต่ลำพังมีน้ำหนักน้อยจึงรับฟังคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายประกอบกับพยานบุคคลและพยานเอกสารลงโทษจำเลยที่ 1 ได้ ภาพถ่ายธนบัตรที่มีลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 ซึ่งพนักงานสอบสวนลงลายมือชื่อรับรองว่าถ่ายมาจากต้นฉบับจริงเป็นสำเนาเอกสารที่เจ้าพนักงานรับรองจำเลยมิได้โต้แย้งคัดค้านความถูกต้องแท้จริงย่อมรับฟังได้โดยชอบตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 238 จำเลยรับเด็กหญิงและหญิงหลายคนซึ่งมีผู้จัดหา ล่อไปหรือชักพาไปเพื่อการอนาจารเพื่อสำเร็จความใคร่ของผู้อื่น โดยรับไว้หลายครั้งครั้งละ 2 คนบ้าง 1 คนบ้างนั้น การรับไว้แต่ละครั้งเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน แต่ในครั้งเดียวกันแม้รับเด็กหญิงหรือหญิงไว้หลายคนก็เป็นการกระทำกรรมเดียว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่นได้รับตัวเด็กหญิงหรือหญิงรวม 14 คน ซึ่งมีผู้จัดหา ชักพาไปเพื่อการอนาจารและค้าประเวณีโดยเด็กหญิงหรือหญิงยินยอม และจำเลยทั้งสองร่วมกันจัดหาเด็กหญิงและหญิงดังกล่าวกระทำการค้าประเวณีเพื่อผู้อื่นเป็นปกติธุระ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282,83, 91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6)พ.ศ. 2526 มาตรา 4 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2530 มาตรา 5 พระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณีพ.ศ. 2503 มาตรา 8
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 วรรคสี่ และมีความผิดตามพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2503 มาตรา 8 ให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 วรรคสี่ ดังกล่าวซึ่งเป็นกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90โดยให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 วรรคสี่ทุกกรรมเป็นกระทงความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 กล่าวคือลงโทษตามวรรคแรก จำคุกกระทงละ 1 ปี รวม 3 กระทง เป็นจำคุก3 ปี ลงโทษตามวรรคสอง จำคุกกระทงละ 3 ปี รวม 7 กระทง เป็นจำคุก 21 ปี ลงโทษตามวรรคสาม จำคุกกระทงละ 5 ปี รวม 2 กระทงเป็นจำคุก 10 ปี รวมเป็นจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 34 ปี
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหาย แม้จะเป็นพยานบอกเล่า แต่ก็ไม่มีกฎหมายห้ามไม่ให้รับฟังเสียทีเดียว เพียงแต่มีน้ำหนักน้อยเท่านั้นศาลย่อมรับฟังคำให้การชั้นสอบสวนดังกล่าวประกอบกับพยานบุคคลและพยานเอกสารที่โจทก์นำสืบได้
ภาพถ่ายธนบัตรที่มีลายมือชื่อจำเลยที่ 2 ลงชื่อไว้โดยมีพนักงานสอบสวนลงลายมือชื่อรับรองว่าเป็นเอกสารที่ถ่ายมาจากต้นฉบับจริงเมื่อปรากฏว่าสำเนาเอกสารดังกล่าวไม่ตรงกับต้นฉบับ ทั้งจำเลยมิได้โต้แย้งคัดค้านความถูกต้องแท้จริงของเอกสาร เมื่อภาพถ่ายธนบัตรดังกล่าวเป็นสำเนาเอกสารที่เจ้าพนักงานรับรองจึงเป็นการเพียงพอที่ศาลจะรับฟังสำเนาเอกสารดังกล่าวได้โดยชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 238 แล้ววินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานเพื่อสำเร็จความใคร่ของผู้อื่น รับเด็กหญิงและหญิงซึ่งมีผู้จัดหา ล่อไปหรือชักพาไปเพื่อการอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 วรรคสี่ และเนื่องจากนางสาวหนึ่งฤทัยกับนางสาวบังอรมาทำงานกับจำเลยที่ 1 พร้อมกัน เช่นเดียวกับนางสาวสีพันธ์กับนางสาวเพ็ญ หล้าพรม การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่เกี่ยวกับนางสาวหนึ่งฤทัยและนางสาวบังอร จึงเป็นความผิดกรรมเดียว เช่นเดียวกับที่จำเลยที่ 1 กระทำต่อนางสาวสีพันธ์ และนางสาวเพ็ญ หล้าพรม แต่เป็นการกระทำความผิดต่างวันเวลากันจึงเป็นความผิด 2 กระทง ส่วนกรณีของผู้เสียหายอื่นอีก8 คน นั้น จากคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายดังกล่าวซึ่งรับฟังได้ดังได้วินิจฉัยมาแล้ว ประกอบด้วยคำเบิกความของนางสาวติ๊กฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 รับผู้เสียหายแต่ละคนไว้คนละวันเวลากันการกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดต่างกรรมกัน รวม 10 กระทงและจากคำเบิกความของนางสาวติ๊กและคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายทั้ง 12 คน ฟังได้ว่า ขณะเกิดเหตุนางสาวหนึ่งฤทัยอายุ 18 ปี นางสาวบังอรอายุ 16 ปีเศษ เด็กหญิงทับทิมอายุ 14 ปีเศษ นางสาวติ๊ก อายุ 15 ปีเศษ นางสาวประดับอายุ 16 ปีเศษ นางสาวสีพันธ์ อายุ 16 ปีเศษ นางสาวเพ็ญหล้าพรม อายุ 16 ปีเศษ เด็กหญิงสถิตย์ อายุ 13 ปีเศษนางสาวเพ็ญหรือเพ็ง แสนดี อายุ 23 ปีเศษ นางสาวมันทนาอายุ 18 ปีเศษ นางสาวกาญจนา อายุ 16 ปีเศษ และนางสาวจิ๋มอายุ 17 ปีเศษ จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 282 วรรคสี่ ประกอบด้วยวรรคแรก 2 กระทงตาม มาตรา 282 วรรคสี่ประกอบด้วยวรรคสอง 6 กระทง ตามมาตรา 282 วรรคสี่ประกอบด้วยวรรคสาม 2 กระทง แล้ววินิจฉัยต่อไปว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดในข้อหาฐานเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่น ได้เป็นธุระจัดหา ชักพานางสาวทองทิพย์และนางสาวย้ายไปเพื่อการอนาจารและค้าประเวณีเพื่อผู้อื่นเป็นปกติธุระตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 วรรคแรกและพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2503 มาตรา 8 ส่วนจำเลยที่ 2 วินิจฉัยว่าเป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานเพื่อสำเร็จความใคร่ของผู้อื่นรับตัวนางสาวหนึ่งฤทัย นางสาวบังอร เด็กหญิงทับทิม นางสาวติ๊ก นางสาวประดับนางสาวสีพันธ์ นางสาวเพ็ญ เด็กหญิงสถิตย์ นางสาวเพ็ญนางสาวมันทนา นางสาวกาญจนา นางสาวจิ๋ม ซึ่งมีผู้จัดหาล่อไป หรือชักพาไปเพื่อการอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282วรรคสี่ โดยเป็นความผิดต่างกรรมรวม 10 กรรม ส่วนความผิดเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือชักพานางสาวทองทิพย์ และนางสาวย้ายไปเพื่อการอนาจารฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้กระทำผิดในข้อหาดังกล่าว
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 282 วรรคสี่ ประกอบด้วย วรรคแรก 2 กระทงให้จำคุกกระทงละ 1 ปี เป็นจำคุก 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282วรรคสี่ ประกอบด้วยวรรคสอง 6 กระทง ให้จำคุกกระทงละ 3 ปีเป็นจำคุก 18 ปี และตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 วรรคสี่ประกอบด้วย วรรคสาม 2 กระทง ให้จำคุกกระทงละ 5 ปี เป็นจำคุก10 ปี รวมจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 30 ปี

Share