คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 224/2534

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การที่จำเลยดำเนินกิจการจัดให้มีซึ่งเคหะเพื่อให้ประชาชนได้เช่าซื้อหรือซื้อเป็นของตนเอง ตลอดจนให้ความช่วยเหลือเกี่ยวกับกิจการดังกล่าวโดยมิใช่กิจการที่ให้เปล่า แม้จำเลยจะเป็นหน่วยงานของรัฐ ก็จะถือว่าจำเลยมิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหากำไรในทางเศรษฐกิจยังไม่ได้ การจ้างงานของจำเลยจึงไม่เข้าข้อยกเว้นที่ไม่ต้องอยู่ภายใต้บังคับของประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง การคุ้มครองแรงงานพระราชบัญญัติ ญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2518 มาตรา 9 และมาตรา 11 บัญญัติให้พนักงานรัฐวิสาหกิจพ้นจากตำแหน่งเมื่อมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์ โดยมีจุดมุ่งหมายกำหนดคุณสมบัติของพนักงานรัฐวิสาหกิจให้ถือปฏิบัติเป็นอย่างเดียวกันในวงการรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ เมื่อจำเลยให้โจทก์ออกจากงานเพราะเหตุดังกล่าวโดยโจทก์มิได้กระทำความผิดจึงถือว่าเป็นการเลิกจ้างตามความหมายในข้อ 46 ของประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน แล้ว ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 46วรรคท้าย แก้ไขใหม่โดยประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 11) ข้อ 7 กำหนด กรณีที่นายจ้าง ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้าง นอกจากสัญญาจ้างระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างจะเป็นสัญญาที่มีกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอนแล้ว ต้องเป็นการจ้างเพื่อทำงานอันมีลักษณะเป็นครั้งคราวเป็นการจร เป็นไปตามฤดูกาล หรือเป็นงานตามโครงการด้วย จำเลยเลิกจ้างโจทก์หลังจากประกาศดังกล่าวมีผลใช้บังคับ ผลของการเลิกจ้างจึงต้องบังคับและเป็นไปตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ข้อ 46 ที่แก้ไขใหม่ แต่จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ถึงลักษณะงานว่าเป็นการจ้างเพื่อทำงานอันมีลักษณะเป็นครั้งคราว เป็นการจร เป็นไปตามฤดูกาล หรือเป็นงานตามโครงการดังนั้น ปัญหาว่าการจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นการจ้างที่มีกำหนดเวลาไว้แน่นอนหรือไม่ จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย โจทก์มาทำงานกับจำเลยเพราะผลของการโอนกิจการ ทรัพย์สินสิทธิ หนี้ และความรับผิดของธนาคารอาคารสงเคราะห์ให้แก่จำเลยตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 316 ข้อ 5 มิใช่โจทก์ลาออกจากหน่วยงานเดิมมาสมัครเข้าทำงานกับจำเลยใหม่ และตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 577 ก็บัญญัติให้นายจ้างโอนสิทธิของตนให้แก่บุคคลภายนอกได้เมื่อลูกจ้างยินยอมด้วยการโอนสิทธิการจ้างเช่นนี้ฐานะความเป็นลูกจ้างของลูกจ้างย่อมไม่สิ้นสุดลง ซึ่งต่างกับกรณีการเลิกจ้าง เมื่อไม่ได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น การนับอายุการทำงานของโจทก์จึงต้องนับต่อเนื่องกันไป การที่โจทก์มีฐานะเป็นลูกจ้างประจำของธนาคารอาคารสงเคราะห์อยู่แล้ว เมื่อโอนมาเป็นลูกจ้างประจำของจำเลยสิทธิของโจทก์ที่จะได้รับเงินสงเคราะห์จากจำเลยตามข้อบังคับการเคหะแห่งชาติ ฉบับที่ 32 จึงต้องคำนวณโดยนำอายุการทำงานของโจทก์จากธนาคารอาคารสงเคราะห์มารวมกับอายุการทำงานกับจำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2499 ธนาคารอาคารสงเคราะห์จ้างโจทก์ทำงานเป็นลูกจ้างประจำ ต่อมาเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์2516 โจทก์ได้โอนไปทำงานกับจำเลยตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 316 ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 9,930 บาท ต่อมาวันที่ 1 ตุลาคม 2533 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ โดยอ้างเหตุเกษียณอายุโจทก์มีสิทธิได้รับเป็นเงิน 59,580 บาท และมีสิทธิได้รับเงินกองทุนสงเคราะห์เท่ากับอายุการทำงานเป็นปีคูณด้วยอัตราค่าจ้างเดือนสุดท้าย โจทก์ได้รับค่าจ้างเดือนสุดท้ายที่ใช้คำนวณเงินกองทุนสงเคราะห์เดือนละ 11,210 บาท โจทก์ทำงานกับธนาคารอาคารสงเคราะห์และจำเลยเป็นเวลารวม 34 ปี จึงมีสิทธิได้รับเงินกองทุนสงเคราะห์รวมเป็นเงิน 381,140 บาท ขอให้บังคับจำเลยจ่ายเงินกองทุนสงเคราะห์เป็นเงิน 381,140 บาท และค่าชดเชยเป็นเงิน 59,580 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2533 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยให้การว่า กิจการของจำเลยเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะอันเป็นของรัฐ ไม่ได้จัดตั้งขึ้นมาโดยวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหากำไรทางเศรษฐกิจ การจ้างงานของจำเลยจึงไม่อยู่ในบังคับของประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานและจำเลยเป็นหน่วยงานหรือองค์การของรัฐจึงอยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติ คุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจพ.ศ. 2518 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2520 การที่โจทก์พ้นจากตำแหน่งตามกฎหมายดังกล่าว จึงมิใช่เป็นการเลิกจ้างตามความหมายของประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ โจทก์ทราบดีและยอมรับแล้วตั้งแต่วันที่เข้าทำงานกับจำเลยว่าต้องพ้นจากตำแหน่งในวันที่ 30 กันยายน 2533 ฉะนั้นจึงถือได้ว่าการจ้างโจทก์ของจำเลยเป็นการจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอน โจทก์ไม่มีสิทธินำอายุการทำงานในธนาคารอาคารสงเคราะห์มารวมกับอายุการทำงานที่ทำงานกับจำเลย เพื่อเป็นฐานในการคำนวณเงินกองทุนสงเคราะห์ เพราะสิทธิในการรับเงินกองทุนสงเคราะห์ของโจทก์เกิดขึ้นตามข้อบังคับของการเคหะแห่งชาติ ฉบับที่ 32 ว่าด้วยกองทุนสงเคราะห์ ข้อ 4(5) อายุการทำงานของโจทก์จะต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2516อันเป็นวันที่โจทก์เข้าทำงานกับจำเลยจนถึงวันที่ 30 กันยายน2533 ขอให้ยกฟ้อง ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่าการจ้างงานของจำเลยไม่เข้าข้อยกเว้นที่ไม่ต้องอยู่ภายใต้บังคับของประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน การที่จำเลยให้โจทก์ออกจากงานเพราะเหตุเกษียณอายุเป็นการเลิกจ้างตามความหมายของประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 46สัญญาจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยถือไม่ได้ว่าเป็นการจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาแน่นอน ทั้งไม่ใช่การจ้างเพื่อทำงานอันมีลักษณะเป็นครั้งคราวเป็นการจร เป็นไปตามฤดูกาล หรือเป็นงานตามโครงการจำเลยต้องจ่ายค่าชดเชยและเงินกองทุนสงเคราะห์ให้แก่โจทก์ โดยต้องนับอายุการทำงานของโจทก์ ตั้งแต่เริ่มเข้าทำงานเป็นลูกจ้างของธนาคารอาคารสงเคราะห์เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2499 จนถึงวันเกษียณอายุในวันที่ 30 กันยายน 2533 รวม 34 ปีมาใช้คำนวณเงินกองทุนสงเคราะห์ พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยจำนวน 59,580 บาทและเงินกองทุนสงเคราะห์จำนวน 381,140 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์โดยเริ่มคิดดอกเบี้ยในเงินจำนวนแรกนับแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2533และเริ่มคิดดอกเบี้ยในเงินจำนวนหลังนับแต่วันฟ้อง ตามลำดับจำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “จำเลยอุทธรณ์ข้อแรกว่าจำเลยเป็นหน่วยงานของรัฐ มิได้ลงทุนเพื่อหากำไร จำเลยมีวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งเพื่อช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยให้มีที่อยู่อาศัย หากจำเลยจะมีรายได้บ้างก็ได้นำไปใช้จ่ายในการดำเนินงานให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์หลักของจำเลยคือเพื่อสาธารณประโยชน์ จำเลยจึงไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหากำไรในทางเศรษฐกิจ ไม่ต้องอยู่ในบังคับของประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง การคุ้มครองแรงงาน พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า การที่จำเลยดำเนินกิจการจัดให้มีซึ่งเคหะเพื่อให้ประชาชนได้เช่าซื้อหรือซื้อเป็นของตนเอง ตลอดจนให้ความช่วยเหลือและประกอบธุรกิจเกี่ยวกับกิจการดังกล่าว ก็หาใช่ว่าจำเลยมิได้มุ่งหวังผลกำไรโดยเด็ดขาดไม่เพราะมิใช่กิจการที่ให้เปล่า จะถือว่าจำเลยมิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหากำไรในทางเศรษฐกิจยังไม่ได้ การจ้างงานของจำเลยจึงไม่เข้าข้อยกเว้นที่มิต้องอยู่ภายใต้บังคับของประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน
จำเลยอุทธรณ์ข้อที่สองว่า การที่โจทก์พ้นจากตำแหน่งเพราะเกษียณอายุหรือเมื่อมีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์เป็นไปตามพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2518มาตรา 9, 11 ที่แก้ไขแล้ว เป็นการออกจากงานโดยผลของกฎหมายจึงไม่ถือว่าเป็นการเลิกจ้างตามความหมายของประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง การคุ้มครองแรงงาน พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2518มาตรา 9 และมาตรา 11 ที่แก้ไขแล้ว มุ่งหมายกำหนดคุณสมบัติของพนักงานรัฐวิสาหกิจให้ถือปฏิบัติเป็นอย่างเดียวกันในวงการรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ เช่น กำหนดให้พนักงานรัฐวิสาหกิจเกษียณอายุเมื่อมีอายุ 60 ปีบริบูรณ์ เป็นต้น จึงเห็นได้ว่า ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวกำหนดข้อความไว้ก็เพื่อเลิกจ้างพนักงานที่มีอายุครบ60 ปีบริบูรณ์ เมื่อโจทก์มีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ และจำเลยให้โจทก์ออกจากงานเพราะเหตุดังกล่าวโดยโจทก์มิได้กระทำความผิดจึงถือว่าเป็นการเลิกจ้างตามความหมายในข้อ 46 ของประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน แล้ว
จำเลยอุทธรณ์ข้อที่สามว่า การที่โจทก์ทราบว่าตามข้อบังคับของจำเลย ฉบับที่ 4 ข้อ 24 โจทก์ต้องพ้นจากตำแหน่งเมื่อมีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ จึงถือได้ว่าการจ้างโจทก์ของจำเลยเป็นการจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาแน่นอน จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์เห็นว่า ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานข้อ 46 วรรคท้าย แก้ไขใหม่โดยประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 11) ลงวันที่ 11 ตุลาคม 2532 ข้อ 7ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม 2532 กำหนดว่ากรณีที่นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้างนอกจากสัญญาจ้างระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างจะเป็นสัญญาที่มีกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอนแล้ว ต้องเป็นการจ้างเพื่อทำงานอันมีลักษณะเป็นครั้งคราว เป็นการจร เป็นไปตามฤดูกาลหรือเป็นงานตามโครงการด้วย คดีนี้จำเลยเลิกจ้างโจทก์เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม2533 ซึ่งประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน(ฉบับที่ 11) ลงวันที่ 11 ตุลาคม 2532 มีผลใช้บังคับแล้วผลของการเลิกจ้างจึงต้องบังคับและเป็นไปตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ 16 เมษายน 2515 ข้อ 46ซึ่งแก้ไขใหม่โดยประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน(ฉบับที่ 11) ลงวันที่ 11 ตุลาคม 2532 ข้อ 7 แต่จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ถึงลักษณะงานว่าเป็นการจ้างเพื่อทำงานอันมีลักษณะเป็นครั้งคราว เป็นการจร เป็นไปตามฤดูกาล หรือเป็นงานตามโครงการดังนั้นปัญหาว่าการจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นการจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาไว้แน่นอนหรือไม่ จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้
จำเลยอุทธรณ์ข้อสุดท้ายว่า ตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 316 ข้อ 5 ที่กำหนดให้โอนกิจการ ทรัพย์สิน สิทธิหนี้และความรับผิดของธนาคารอาคารสงเคราะห์ให้แก่จำเลย ไม่ได้กำหนดไว้โดยชัดแจ้งว่าให้โอนสิทธิต่าง ๆ ของผู้ปฏิบัติงานมาด้วยโจทก์จึงไม่มีสิทธินำอายุการทำงานที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์มารวมเป็นอายุการทำงานกับจำเลยได้ และการจ่ายเงินสงเคราะห์จากกองทุนสงเคราะห์ให้แก่พนักงานของจำเลยที่ออกจากงานเช่นโจทก์ตามข้อบังคับของจำเลย ฉบับที่ 32 ก็ถือว่าเป็นการจ่ายเงินประเภทอื่น หาได้อยู่ภายใต้บังคับแห่งกฎหมายคุ้มครองแรงงานไม่เมื่อข้อบังคับของจำเลยกำหนดไว้อย่างไรก็ต้องเป็นไปตามนั้นเพราะเป็นสิทธิของจำเลยที่จะกำหนดเงื่อนไขอย่างไรก็ได้ คำว่า”อายุการทำงาน” ตามข้อบังคับของจำเลยดังกล่าวข้างต้น หมายถึงระยะเวลาตั้งแต่เข้าทำงานกับการเคหะแห่งชาติ ซึ่งแสดงว่าจำเลยไม่ประสงค์จะนำอายุการทำงานจากหน่วยงานอื่นมารวมด้วยการโอนจึงไม่ผูกพ้นจำเลยที่จะนำอายุการทำงานของโจทก์จากธนาคารอาคารสงเคราะห์มารวมเพื่อคำนวณเงินสงเคราะห์ เห็นว่าตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 316 ข้อ 5 กำหนดให้โอนกิจการทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ และความรับผิดของส่วนราชการและหน่วยงานต่าง ๆให้แก่จำเลย รวมทั้งธนาคารอาคารสงเคราะห์เฉพาะที่เกี่ยวกับธุรกิจตามมาตรา 27(1) และ (3) แห่งพระราชบัญญัติธนาคารอาคารสงเคราะห์ พ.ศ. 2496 ดังนั้น การที่โจทก์มาทำงานกับจำเลย ก็เพราะผลของการโอนตามประกาศของคณะปฏิวัติดังกล่าวมิใช่โจทก์ลาออกจากหน่วยงานเดิมมาสมัครเข้าทำงานกับจำเลยใหม่และตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 577 บัญญัติว่านายจ้างจะโอนสิทธิของตนให้แก่บุคคลภายนอกก็ได้ เมื่อลูกจ้างยินยอมพร้อมใจด้วย การโอนสิทธิการจ้างเช่นนี้ ฐานะความเป็นลูกจ้างของลูกจ้างย่อมไม่สิ้นสุดลง ซึ่งต่างกับกรณีการเลิกจ้างสำหรับโจทก์มาทำงานกับจำเลยเพราะผลของการโอน เมื่อมิได้ตกลงไว้เป็นอย่างอื่น การนับอายุการทำงานจึงต้องนับต่อเนื่องกันไปแต่อย่างไรก็ตาม สิทธิของโจทก์ที่จะได้รับเงินสงเคราะห์จากจำเลยตามข้อบังคับการเคหะแห่งชาติ ฉบับที่ 32 ว่าด้วยกองทุนสงเคราะห์นั้น ข้อ 6 ทวิ กำหนดให้ผู้มีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์มีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์จากกองทุนสงเคราะห์เป็นจำนวนเท่ากับเงินเดือนหรือค่าจ้างเดือนสุดท้าย คูณด้วยอายุการทำงานสำหรับ”อายุการทำงาน” ตามข้อบังคับเดียวกัน ข้อ 4(5) นั้น หมายความว่าระยะเวลาตั้งแต่วันที่ผู้ปฏิบัติงานเข้าประจำทำงานในการเคหะแห่งชาติในฐานะพนักงาน ซึ่งเป็นลูกจ้างประจำตามงบทำการจนถึงวันสุดท้ายก่อนพ้นจากตำแหน่งในการเคหะแห่งชาติ ซึ่งเมื่อได้พิเคราะห์ข้อบังคับของจำเลยฉบับที่ 32 ดังกล่าวมาแล้วเห็นว่าก่อนโอนมาทำงานกับจำเลย โจทก์มีฐานะเป็นลูกจ้างประจำของธนาคารอาคารสงเคราะห์อยู่แล้ว เมื่อโอนมาเป็นลูกจ้างประจำของจำเลย จึงต้องนับอายุการทำงานติดต่อกัน ที่ศาลแรงงานกลางคำนวณเงินสงเคราะห์ตามข้อบังคับของจำเลย ฉบับที่ 32 ให้แก่โจทก์โดยนำเอาอายุการทำงานของโจทก์จากธนาคารอาคารสงเคราะห์มารวมกับอายุการทำงานกับจำเลยนั้นถูกต้องแล้ว”
พิพากษายืน

Share