แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ช.ได้ทำสัญญากู้และมอบ น.ส.3 ซึ่งโจทก์เป็นผู้มีชื่อเป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองให้จำเลยยึดถือไว้เป็นประกัน แต่โจทก์มิได้ลงลายมือชื่อเป็นผู้กู้และมิได้ยอมรับว่ากู้เงินจากจำเลยทั้งหนังสือมอบอำนาจตามที่จำเลยอ้างเป็นพยานหลักฐานเพื่อยึดถือ น.ส.3 ดังกล่าวไว้ เป็นตราสารที่ต้องปิดอากรแสตมป์แต่สัญญากู้และหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ จึงใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้จนกว่าจะได้เสียอากรโดยปิดแสตมป์ครบจำนวนตามอัตราในบัญชีท้าย ประมวลรัษฎากรและขีดฆ่าแล้วกรณีจึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์มอบอำนาจให้ ช. ไปกู้เงินจำเลย จำเลยจึงไม่มีสิทธิใด ๆ ที่จะยึด น.ส.3ของโจทก์ไว้เพื่อบังคับชำระหนี้แก่จำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาบังคับให้จำเลยส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เล่ม 11 หน้า 110 หมู่ที่ 4ตำบลรางสาสี่ อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี ให้โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ได้ทำหนังสือมอบอำนาจและมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ฉบับตามฟ้องให้นายชาติ นางซิ้ม เป็นตัวแทนไปทำสัญญากู้ยืมเงินจากจำเลยและให้จำเลยยึดถือใบมอบอำนาจและหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3) ไว้เป็นประกันเงินกู้ดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ดังกล่าวคืนจนกว่าจะชำระหนี้ให้จำเลยก่อน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้คืนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เล่ม 11 หน้า 110 หมู่ที่ 4 ตำบลรางสาลี่อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี แก่โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่าโจทก์และนางทอง ดวงศรีหรืออุดมผล ร่วมกันเป็นเจ้าของหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เล่มที่ 11 หน้า 110ตั้งอยู่หมู่ที่ 4 ตำบลรางสาลี่ อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรีนายชาติได้ทำสัญญากู้ตามเอกสารหมาย ล.7 โดยมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวให้จำเลยยึดถือไว้เป็นประกันจำเลยฎีกาว่าเมื่อนายชาติเบิกความยอมรับแล้วว่าได้กู้เงินจำเลยแสดงว่าโจทก์รู้เห็นเป็นใจและได้ลงลายมือชื่อมอบอำนาจให้นายชาติไปกู้เงินจำเลยและนำ น.ส.3 ให้จำเลยยึดเป็นหลักประกัน จำเลยจึงมีสิทธิยึดถือไว้จนกว่าจะได้รับชำระหนี้นั้นเห็นว่า แม้นายชาติจะยอมรับว่าได้กู้เงินจำเลยไปจริงก็ตามแต่โจทก์มิได้ลงลายมือชื่อเป็นผู้กู้และมิได้ยอมรับว่ากู้เงินจากจำเลย ทั้งหนังสือมอบอำนาจตามเอกสารหมาย ล.4 และหนังสือสัญญากู้เอกสารหมาย ล.7 ซึ่งจำเลยอ้างเป็นพยานหลักฐานเพื่อยึดถือ น.ส.3 ดังกล่าวไว้ก็เป็นตราสารที่ต้องปิดอากรแสตมป์แต่สัญญากู้และหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ซึ่งประมวลรัษฎากร มาตรา 118 บัญญัติว่า “ตราสารใดไม่ปิดแสตมป์บริบูรณ์จะใช้ต้นฉบับ คู่ฉบับ คู่ฉีกหรือสำเนาตราสารนั้นเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้จนกว่าจะได้เสียอากรโดยปิดแสตมป์ครบจำนวนตามอัตราในบัญชีท้ายหมวดนี้และขีดฆ่าแล้ว” ดังนั้นสัญญากู้และหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวย่อมรับฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้ จึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์มอบอำนาจให้นายชาติไปกู้เงินจำเลย จำเลยจึงไม่มีสิทธิใด ๆ ที่จะยึดหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ไว้เพื่อบังคับชำระหนี้แก่จำเลย
พิพากษายืน