แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
รถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ขับเฉลี่ยชนกับรถยนต์ที่จำเลยที่ 2 ขับสวนทางกัน รถทั้งสองคันได้รับความเสียหาย แม้ความเสียหายจะมิได้เกิดเพราะความผิดของจำเลยที่ 2 ต้องถือว่าจำเลยที่ 2 ขับรถในทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่นแล้วการที่จำเลยที่ 2 หลบหนี จึงมีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 78 วรรคหนึ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์เก๋ง หมายเลขทะเบียน ก – 2682 ตราดในขณะเมาสุราและหย่อนความสามารถในอันที่จะขับไปตามถนนสายตราด – คลองใหญ่ จากอำเภอเมืองตราดมุ่งหน้าไปอำเภอคลองใหญ่ ด้วยความประมาทใช้ความเร็วสูงเกินสมควรทั้งนี้ขณะนั้นฝนตกถนนลื่นเมื่อลงสะพานข้ามแม่น้ำตราดรถจึงล้ำเข้าไปในทางเดินรถสวนตัดหน้ารถยนต์บรรทุกหกล้อหมายเลขทะเบียน 70 – 1045 สมุทรปราการ ที่จำเลยที่ 2 ขับสวนทางมาในระยะกระชั้นชิดเป็นเหตุให้รถเฉี่ยวชนกันอย่างแรก จนรถทั้งสองคันได้รับความเสียหาย เหตุเกิดเพราะความประมาทของจำเลยที่ 1 ฝ่ายเดียวจำเลยที่ 2 ขับรถในทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลและทรัพย์สินของผู้อื่นได้หลบหนีไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือตามสมควรทั้งไม่แสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันทีขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ. 2522 มาตรา 43(1)(2)(4), 78, 157, 160 วรรคหนึ่ง และวรรคสาม
จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์แยกฟ้องจำเลยที่ 1 และจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ โดยอัยการพิเศษประจำเขต 2 ซึ่งได้รับมอบหมายจากอัยการสูงสุดรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 78 วรรคหนึ่ง, 160 วรรคหนึ่ง ปรับ 2,000 บาท จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงปรับ 1,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ประการเดียวว่า การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ. 2522 มาตรา 78 วรรคหนึ่ง ซึ่งต้องระวางโทษตามมาตรา 160 วรรคหนึ่ง ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522มาตรา 78 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ผู้ใดขับรถหรือขี่หรือควบคุมสัตว์ในทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นความผิดของผู้ขับขี่หรือผู้ขี่หรือควบคุมสัตว์หรือไม่ก็ตาม ต้องหยุดรถ หรือสัตว์ และให้ความช่วยเหลือตามสมควรและพร้อมทั้งแสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันที กับต้องแจ้งชื่อตัว ชื่อสกุล และที่อยู่ของตน และหมายเลขทะเบียนรถแก่ผู้ได้รับความเสียหายด้วย”จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพตามฟ้องที่ว่า รถยนต์เก๋งที่จำเลยที่ 1 ขับเฉี่ยวชนกับรถยนต์บรรทุกหกล้อที่จำเลยที่ 2 ขับสวนทางกัน รถทั้งสองคันได้รับความเสียหายดังนั้น แม้ว่าความเสียหายจะมิได้เกิดเพราะความผิดของจำเลยที่ 2 ก็ตาม ต้องถือว่าจำเลยที่ 2 ขับรถในทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่นแล้วการที่จำเลยที่ 2 หลบหนี ไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือตามสมควร ทั้งไม่แสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันที เป็นการไม่ปฏิบัติตามที่กฎหมายบังคับไว้ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ. 2522 มาตรา 78 วรรคหนึ่ง ซึ่งต้องระวางโทษตามมาตรา 160 วรรคหนึ่ง จึงชอบแล้ว”
พิพากษายืน