คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2808/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คำให้การของจำเลยและประเด็นข้อพิพาทไม่มีประเด็นว่าจำเลยได้ชำระหนี้ตามฟ้องให้โจทก์เสร็จสิ้นแล้วหรือไม่ แต่จำเลยขอส่งประเด็นไปสืบพยานจำเลยทั้งสองปากในประเด็นว่าธนาคารโจทก์ สาขาพิจิตร ได้หักเงินจากบัญชีของจำเลยทุกเดือนชำระหนี้ให้โจทก์ตามฟ้องเสร็จสิ้นแล้ว จึงเป็นการขอส่งประเด็นไปสืบพยานจำเลยที่ไม่เกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทในคดีจึงชอบที่ศาลชั้นต้นจะไม่อนุญาตให้จำเลยส่งประเด็นและงดสืบพยานจำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้เงินไปจากโจทก์สาขาพิจิตรและจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกัน จำเลยค้างชำระหนี้แก่โจทก์ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยจนถึงวันฟ้อง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,083,265.06 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของเงินต้น 650,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ชำระ ขอให้ยึดทรัพย์สินจำนองขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์ หากได้เงินไม่พอ ขอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยให้การว่า หนังสือรับรองเป็นนิติบุคคลของโจทก์ทำขึ้นโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยไม่เคยกู้เงิน ไม่เคยจำนองที่ดินต่อโจทก์เอกสารท้ายฟ้องปลอมฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเนื่องจากเอกสารท้ายฟ้องไม่ตรงกับข้อความที่บรรยายในฟ้องและสับสน โจทก์เรียกดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด โจทก์ไม่เคยบอกกล่าวบังคับจำนองต่อจำเลยฟ้องโจทก์ขาดอายุความเนื่องจากไม่ฟ้องเรียกเงินต้นและดอกเบี้ยคืนภายใน 2 ปี นับแต่วันครบกำหนดอายุสัญญา ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาสืบพยานจำเลย จำเลยแถลงขอส่งประเด็นไปสืบนายเทพชัย สายสุจริต สมุห์บัญชีธนาคารโจทก์ สาขาสิงห์บุรีที่ศาลจังหวัดสิงห์บุรี และนายพิชิต ตั้งเทียมศิริกุล สมุห์บัญชีธนาคารโจทก์ สาขาสระแก้ว ที่ศาลจังหวัดลพบุรี
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ส่งประเด็นและให้งดสืบพยานจำเลยดังกล่าว แล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 1,083,265.06 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 650,000 บาทนับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์หากไม่ชำระ ให้ยึดทรัพย์จำนองอันได้แก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 292 และ 186พร้อมสิ่งปลูกสร้างตั้งอยู่ที่ตำบลในเมืองอำเภอเมืองพิจิตรจังหวัดพิจิตร ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 2061และ 2062 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ตั้งอยู่ที่ตำบลไผ่ท่าโพธิ์ อำเภอโพธิ์ประทับช้าง จังหวัดพิจิตร ออกขายทอดตลาดชำระหนี้ให้โจทก์หากได้เงินไม่พอ ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้ให้โจทก์จนครบ
จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาและคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ส่งประเด็นและงดสืบพยานจำเลย
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีข้อวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยเพียงว่าที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยส่งประเด็นและงดสืบพยานจำเลยชอบหรือไม่ ได้ความตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นฉบับลงวันที่ 3 กรกฎาคม 2533 ว่าจำเลยแถลงขอส่งประเด็นไปสืบพยานจำเลยคือ นายเทพชัย สายสุจริต สมุห์บัญชีธนาคาร โจทก์สาขาสิงห์บุรี ที่ศาลจังหวัดสิงห์บุรี และนายพิชิตตั้งเทียมศิริกุล สมุห์บัญชีธนาคารโจทก์ สาขาสระแก้ว ที่ศาลจังหวัดลพบุรี ในประเด็นข้อที่ว่าธนาคารโจทก์ สาขาพิจิตรได้หักเงินของจำเลยจากบัญชีกระแสรายวัน เลขที่ 375 ทุกเดือนเดือนละ 25,000 บาท ชำระหนี้ให้โจทก์ตามฟ้องเสร็จสิ้นแล้วเห็นว่าตามคำให้การของจำเลยก็ดี และตามประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดในการชี้สองสถานก็ดี ไม่มีประเด็นข้อที่ว่าจำเลยได้ชำระหนี้ตามฟ้องให้โจทก์เสร็จสิ้นแล้วหรือไม่เมื่อคดีไม่มีประเด็นข้อพิพาทกันดังกล่าว แต่จำเลยขอส่งประเด็นไปสืบพยานจำเลยทั้งสองปากในประเด็นนั้น ดังนี้ จึงเป็นการขอส่งประเด็นไปสืบพยานจำเลยที่ไม่เกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทในคดีที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยส่งประเด็นและงดสืบพยานจำเลยและศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน จึงชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share