คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2807/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ศ. จดทะเบียนจำนองที่ดินและตึกแถวพิพาทไว้แก่ธนาคาร ก.และได้เอาประกันภัยไว้กับจำเลย โดยมีข้อความระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยว่าให้ธนาคาร ก. เป็นผู้รับประโยชน์และระบุด้วยว่าสัญญาย่อมระงับไป เมื่อทรัพย์สินซึ่งได้เอาประกันภัยไว้ได้เปลี่ยนมือจากผู้เอาประกันภัยโดยวิธีอื่นนอกจากทางพินัยกรรมหรือโดยบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ต่อมา ศ.ได้จดทะเบียนไถ่ถอนจำนองโดยโจทก์เป็นผู้ชำระหนี้ให้แก่ธนาคาร ก. แทน ศ.แล้วศ.ได้จดทะเบียนโอนขายให้โจทก์โดยปลอดการจำนอง จึงทำให้สิทธิจำนองระงับไปและธนาคาร ก. หมดสิทธิที่จะได้รับช่วงทรัพย์ อันได้แก่สิทธิเรียกร้องตามกรมธรรม์ประกันภัยที่ ศ. มีอยู่ต่อจำเลยอีกต่อไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 231 สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนในกรมธรรม์ประกันภัยจึงกลับมาเป็นของ ศ. ตามเดิมเมื่อ ศ. โอนตึกแถวพิพาทให้โจทก์โดยไม่ได้บอกกล่าวการโอนให้จำเลยทราบเพราะไม่ทราบเงื่อนไขตามสัญญาจนกระทั่งเกิดเพลิงไหม้ตึกแถว ดังนี้ โจทก์จึงไม่อาจอ้างได้ว่าโจทก์ได้รับช่วงสิทธิด้วยอำนาจกฎหมายจากธนาคาร ก. เพราะเป็นบุคคลผู้ได้ไปซึ่งอสังหาริมทรัพย์ และเอาเงินราคาค่าซื้อให้แก่ผู้รับจำนองทรัพย์สินเสร็จไปตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 229(2) และไม่อาจอ้างได้ว่าสิทธิของ ศ. ตามสัญญาประกันภัยได้โอนมายังโจทก์ด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 875 เพราะสัญญาประกันภัยได้ระงับไปแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน275,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจำเลยจะใช้เงินให้แก่โจทก์
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน 275,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยชำระเสร็จ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติได้ว่าเดิมนางศุทธิรัตน์ ทรายงาม ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 89493 เนื้อที่ 16 ตารางวา พร้อมตึกแถวเลขที่ 299/110ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร ได้จำนองที่ดินและตึกแถวดังกล่าวแก่ธนาคารกรุงไทย จำกัด จำเลยเป็นผู้รับประกันวินาศภัยตึกแถวดังกล่าวไว้จากนางศุทธิรัตน์มีกำหนด1 ปี เป็นเงิน 275,000 บาท โดยมีธนาคารกรุงไทย จำกัด ผู้รับจำนองเป็นผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ.4 ต่อมาโจทก์ได้ไถ่จำนองที่ดินและตึกแถวดังกล่าวจากธนาคารกรุงไทย จำกัดโดยชำระเงินให้แก่ธนาคารกรุงไทย จำกัด เป็นเงิน 350,000 บาทแล้วนางศุทธิรัตน์ได้จดทะเบียนโอนขายกรรมสิทธิ์ที่ดินและตึกแถวให้โจทก์ เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2531 โดยนางศุทธิรัตน์มิได้แจ้งการโอนตึกแถวที่เอาประกันภัยให้จำเลยทราบ จนวันที่ 3 ตุลาคม2531 ซึ่งอยู่ในระหว่างอายุสัญญาประกันภัยได้เกิดเหตุเพลิงไหม้ตึกแถวของโจทก์เสียหายทั้งหลัง โจทก์ขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัย จำเลยปฏิเสธ
พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาว่าจำเลยจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ตามกรมธรรม์ประกันภัย เอกสารหมาย จ.4 หรือไม่ คดีนี้โจทก์จำเลยนำสืบรับกันว่า นางศุทธิรัตน์ ทรายงาม ได้เอาประกันภัยตึกแถวกับจำเลยตามกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ.4 มีกำหนดอายุสัญญา 1 ปี โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 11 มีนาคม 2530 สิ้นสุดวันที่11 มีนาคม 2531 โจทก์ฟ้องโดยแนบสำเนาภาพถ่ายกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 ซึ่งระบุว่าสัญญาประกันภัยตึกแถวพิพาทมีอายุ 1 ปี โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 11 มีนาคม 2531 สิ้นสุดวันที่11 มีนาคม 2532 และบรรยายฟ้องว่าตึกแถวพิพาทซึ่งได้เอาประกันภัยไว้ได้เกิดเพลิงไหม้เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2531 ภายในกำหนดอายุสัญญาประกันภัย จำเลยมิได้ให้การปฏิเสธในข้อนี้ ข้อเท็จจริงจึงต้องรับฟังตามข้ออ้างของโจทก์ดังกล่าว จำเลยฎีกาว่านางศุทธิรัตน์เป็นผู้จดทะเบียนไถ่จำนองที่ดินและตึกแถวพิพาทจากธนาคารกรุงไทย จำกัด ผู้รับจำนอง และจดทะเบียนโอนขายให้โจทก์สิทธิจำนองย่อมระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 744(4) โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในตึกแถวพิพาทโดยปลอดจำนองไม่มีหนี้จำนองที่โจทก์จะต้องชำระแก่ธนาคารกรุงไทย จำกัด อีกโจทก์จึงไม่อาจรับช่วงสิทธิด้วยอำนาจกฎหมายจากธนาคารกรุงไทย จำกัดผู้รับจำนองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 229(2) และมาตรา 231 ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ดินและตึกแถวพิพาทได้จำนองแก่ธนาคารกรุงไทย จำกัด และได้เอาประกันภัยไว้กับจำเลย โดยมีข้อความระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยว่าให้ธนาคารกรุงไทย จำกัดเป็นผู้รับประโยชน์ ตามมาตรา 231 บัญญัติว่า ถ้าทรัพย์สินที่จำนองเป็นทรัพย์อันได้เอาประกันภัยไว้ ท่านว่าสิทธิจำนองย่อมครอบไปถึงสิทธิที่จะเรียกร้องเอาแก่ผู้รับประกันภัยด้วย อันมีความหมายว่าค่าสินไหมทดแทนที่ธนาคารกรุงไทย จำกัด ผู้รับจำนองจะพึงเรียกได้จากจำเลยผู้รับประกันภัยก็ตกอยู่ในฐานะนิตินัยอย่างเดียวกับทรัพย์ที่จำนอง ดังนั้นหากเกิดเพลิงไหม้ตึกแถวพิพาทในระหว่างการจำนอง ธนาคารกรุงไทย จำกัดย่อมมีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัยแทนตึกแถวพิพาทจากจำเลยได้โดยตรง จึงเป็นกรณีที่ธนาคารกรุงไทย จำกัด ในฐานะเจ้าหนี้จำนองรับช่วงทรัพย์อันได้แก่สิทธิเรียกร้องของนางศุทธิรัตน์ลูกหนี้ผู้เอาประกันภัยที่มีอยู่กับจำเลยในฐานะผู้รับประกันภัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 226 วรรค 2 เมื่อได้ความว่าตึกแถวพิพาทมิได้ถูกเพลิงไหม้ในระหว่างการจำนองและนางศุทธิรัตน์ได้จดทะเบียนไถ่จำนองโดยโจทก์เป็นผู้ชำระหนี้แก่ธนาคารกรุงไทยจำกัดแทนนางศุทธิรัตน์ แล้วนางศุทธิรัตน์ได้จดทะเบียนโอนขายให้โจทก์โดยปลอดการจำนอง จึงทำให้สิทธิจำนองระงับไปและธนาคารกรุงไทยจำกัดผู้รับจำนองหมดสิทธิที่จะได้รับช่วงทรัพย์อันได้แก่สิทธิเรียกร้องตามกรมธรรม์ประกันภัยที่นางศุทธิรัตน์มีอยู่ต่อจำเลยอีกต่อไปตามนัยแห่งมาตรา 231 ที่กล่าวข้างต้น สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนในกรมธรรม์ประกันภัยจึงกลับมาเป็นของนางศุทธิรัตน์ผู้เอาประกันภัยตามเดิม โจทก์จึงไม่อาจอ้างได้ว่าโจทก์ได้รับช่วงสิทธิด้วยอำนาจกฎหมายจากธนาคารกรุงไทยจำกัด ผู้รับจำนอง เพราะเป็นบุคคลผู้ได้ไปซึ่งอสังหาริมทรัพย์และเอาเงินราคาค่าซื้อให้แก่ผู้รับจำนองทรัพย์สินเสร็จไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 229(2)เมื่อนางศุทธิรัตน์โอนตึกแถวพิพาทให้โจทก์ สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนในสัญญาประกันภัยของนางศุทธิรัตน์จะโอนมาเป็นของโจทก์ด้วยหรือไม่นั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 875 วรรคสองบัญญัติว่า ถ้าในสัญญาประกันภัยมิได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่นเมื่อผู้เอาประกันภัยโอนวัตถุที่เอาประกันภัยและบอกกล่าวการโอนไปยังผู้รับประกันภัย ท่านว่าสิทธิอันมีอยู่ในสัญญาประกันภัยนั้นย่อมโอนตามไปด้วย แต่ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติได้ว่า นางศุทธิรัตน์ผู้เอาประกันภัยไม่ได้บอกกล่าวการโอนให้จำเลยทราบเพราะไม่ทราบเงื่อนไขดังกล่าวจนกระทั่งเกิดเพลิงไหม้ตึกแถว ดังนั้นสิทธิในสัญญาประกันภัยจึงไม่โอนตามไปด้วย และในกรมธรรม์ประกันภัย ข้อ 4.4ได้ระบุไว้ว่าสัญญาตามกรมธรรม์ประกันภัยย่อมระงับไป เมื่อทรัพย์สินซึ่งได้เอาประกันภัยไว้ได้เปลี่ยนมือจากผู้เอาประกันภัยโดยวิธีอื่นนอกจากทางพินัยกรรมหรือโดยบทบัญญัติแห่งกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัยเพราะสัญญาประกันภัยได้ระงับไปแล้ว ตามข้อสัญญาและบทกฎหมายดังกล่าว คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share