แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่ศ.ผู้จัดการฝ่ายขายของบริษัทจำเลยดูหมิ่นว่าโจทก์ได้เสียมีสัมพันธ์กับชายอื่นซึ่งมีภริยาแล้ว ทำให้โจทก์อับอายไม่มาทำงานเกินสามวันทำงานติดต่อกันจนเป็นเหตุให้จำเลยเลิกจ้างโจทก์นั้น เป็นเรื่องส่วนตัว ดังนั้น ศ.จะมีฐานะเป็นนายจ้างหรือไม่จึงไม่ใช่ข้อสำคัญที่จำเป็นต้องวินิจฉัยและการพูดเช่นนั้นก็มิใช่เรื่องกีดกันมิให้ลูกจ้างทำงานติดต่อกันเกินเจ็ดวันทำงาน จึงถือได้ว่าโจทก์ละทิ้งหน้าที่โดยไม่มีเหตุอันสมควร จำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้างประจำ จำเลยเลิกจ้างโจทก์อ้างว่าโจทก์หยุดทำงานเกินกว่าสามวันติดต่อกัน แต่โจทก์มีเหตุจำเป็นและสมควรที่ต้องหยุดงาน เพราะจำเลยได้กล่าวดูถูกเหยียดหยามโจทก์ต่อหน้าบุคคลอื่น ทำให้โจทก์อับอายเพื่อนร่วมงาน เป็นการเลิกจ้างโดยโจทก์ไม่มีความผิด ไม่บอกกล่าวล่วงหน้า ไม่จ่ายค่าชดเชยจำเลยค้างจ่ายเงินสะสม ค้างจ่ายค่าจ้างและค้างจ่ายค่าทำงานในวันหยุดพักผ่อนประจำปีขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า เงินสะสม ค่าจ้างค้างจ่ายค่าทำงานในวันหยุดพักผ่อนประจำปีและค่าชดเชย
จำเลยให้การว่า บริษัทจำเลยยังมิได้มีประกาศหยุดพักผ่อนประจำปีโจทก์จึงไม่มีสิทธิจะได้ค่าทำงานในวันหยุด เงินสะสมเงินค่าจ้างค้างจ่าย ไม่ถึงจำนวนตามฟ้อง โจทก์ละทิ้งหน้าที่ตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคม 2526 จนถึงวันให้การ (วันที่ 2 มิถุนายน 2526) โดยไม่มีเหตุสมควร ไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชย ขอให้ยกฟ้อง
ในวันพิจารณาโจทก์จำเลยแถลงรับกันถึงจำนวนเงินสะสมและค่าจ้างค้างจ่าย
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า นายศิริวัฒน์ ผู้จัดการฝ่ายขาย มิใช่กรรมการผู้จัดการผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัท การที่นายศิริวัฒน์พูดดูหมิ่นโจทก์เป็นการกระทำโดยส่วนตัวไม่เกี่ยวกับบริษัทจำเลย โจทก์อ้างว่าอับอายไม่ไปทำงานตั้งแต่วันที่ 5 ถึงวันที่ 13 พฤษภาคม 2526 เป็นการละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันควร จำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย และไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า โจทก์มีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีแต่โจทก์ไม่หยุดพักผ่อนจำเลยต้องรับผิดจ่ายค่าจ้างในวันหยุดพักผ่อนประจำปี พิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินสะสม ค่าจ้างที่จ้าง ค่าทำงานในวันหยุดพักผ่อนประจำปีแก่โจทก์ คำขอนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า โจทก์ถูกนายศิริวัฒน์ผู้จัดการฝ่ายขายของบริษัทจำเลยดูหมิ่นว่า โจทก์ได้เสียมีความสัมพันธ์กับชายอื่นซึ่งมีภริยาแล้ว ทำให้โจทก์อับอายโจทก์จึงละทิ้งหน้าที่ไม่มาทำงานเกินสามวัน เป็นเหตุให้จำเลยเลิกจ้าง นายศิริวัฒน์จะมีฐานะเป็นนายจ้างหรือไม่ ไม่เป็นข้อสำคัญที่จำเป็นต้องวินิจฉัย พฤติการณ์ที่นายศิริวัฒน์พูดเกี่ยวกับโจทก์นั้น หากเป็นจริง ก็เป็นเรื่องส่วนตัว ถ้าโจทก์ถือว่าเป็นการหมิ่นประมาททางอาญาหรือละเมิดทางแพ่ง โจทก์ก็อาจใช้สิทธิทางศาลดำเนินคดีต่อผู้กระทำผิดได้ เหตุดังกล่าวเกิดเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2526 ไม่มีเหตุอันสมควรใดๆ ที่โจทก์จะอ้างเป็นเหตุละทิ้งหน้าที่การงานไปตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันที่ 13 เดือนเดียวกัน และกรณีก็ไม่จำต้องวินิจฉัยล่วงเลยไปถึงว่า การที่นายศิริวัฒน์พูดเช่นนั้นเป็นการกลั่นแกล้งโจทก์หรือไม่ เพราะมิใช่เรื่องกีดกันมิให้ลูกจ้างทำงานติดต่อกันเกินเจ็ดวันทำงาน โดยที่ลูกจ้างมิได้กระทำความผิด
พิพากษายืน