คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2795/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์จำเลยซึ่งทำต่อหน้าศาลและศาลพิพากษาตามยอม มีใจความว่า ข้อ 1. จำเลยตกลงขายส่วนหนึ่งของที่ดินพิพาทให้โจทก์ โดยจำเลยจะดำเนินการให้มีการรังวัดแบ่งแยกและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์ในวันที่ 27 ธันวาคม 2532หากจำเลยไม่ดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในกำหนด ก็ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย ข้อ 2. โจทก์ยินยอมซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลย และจะชำระราคาที่ดินดังกล่าวให้จำเลยภายในวันที่ 27ธันวาคม 2532 ค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมในการรังวัดแบ่งแยกรวมตลอดจนถึงจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์โจทก์จะเป็นผู้ออกเองทั้งหมดตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวกำหนดเป็นหน้าที่ของจำเลยต้องเป็นผู้ดำเนินการให้มีการรังวัดแบ่งแยกและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์ในวันที่ 27 ธันวาคม 2532 ส่วนโจทก์มีหน้าที่ต้องชำระราคาที่ดินและเสียค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมในการรังวัดแบ่งแยกรวมตลอดถึงจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่แบ่งแยกเมื่อโจทก์ชำระราคาให้จำเลยแล้ว แม้โจทก์จะไม่ได้ไปสำนักงานที่ดินเพื่อชำระค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมในการรังวัดและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในวันที่ 27 ธันวาคม 2532 ก็ตามก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์สละสิทธิ์ซื้อที่ดินพิพาท เพราะตามสัญญาประนีประนอมดังกล่าวมิได้มีข้อตกลงกันไว้เช่นนั้น กรณีนี้เป็นเรื่องของการบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลหากจำเลยเห็นว่าโจทก์ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลอย่างไรก็ชอบที่จะร้องขอต่อศาลให้บังคับโจทก์ปฏิบัติตามคำพิพากษานั้นได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 73300 แขวงสวนหลวง เขตพระโขนง กรุงเทพมหานครทิศตะวันออกติดที่ดินโฉนดเลขที่ 73299 ของจำเลย โจทก์ใช้รถยนต์ผ่านทางพิพาทซึ่งเป็นถนนในที่ดินของจำเลยโดยสงบเปิดเผย เจตนาใช้เป็นทางภารจำยอมออกสู่ทางสาธารณะติดต่อกันเกินกว่า 10 ปีแล้ว ต่อมาจำเลยปิดกั้นทางพิพาท จึงฟ้องให้จำเลยเปิดทางพิพาทและขอให้ศาลพิพาทและขอให้ศาลพิพากษาว่า ทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมและให้จำเลยไปจดทะเบียนสิทธิภารจำยอม มิฉะนั้นขอให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
ก่อนจำเลยยื่นคำให้การ โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลว่า จำเลยยอมขายส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 73299แขวงสวนหลวง เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร ด้านทิศใต้กว้าง 3 เมตรยาวตลอดเขตที่ดินแก่โจทก์ในราคา 18,000 บาท โดยจำเลยจะดำเนินการให้มีการรังวัดแบ่งแยกและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ในวันที่27 ธันวาคม 2532 โดยโจทก์เป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย หากจำเลยไม่ดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดดังกล่าวให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ศาลพิพากษาตามยอม
จำเลยยื่นคำร้องว่า เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2532 จำเลยไปพบแจ้งพนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาพระโขนง เพื่อขอให้ทำการรังวัดแบ่งแยกโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแก่โจทก์ตามสัญญา แต่โจทก์ไม่ไปตามนัด จำเลยจึงแจ้งโจทก์ว่าถือว่าโจทก์สละสิทธิซื้อและจำเลยไม่ประสงค์ขายที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ ต่อมาวันที่ 29 ธันวาคม 2532โจทก์ไปยื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานที่ดินขอให้รังวัดแบ่งแยกออกทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแก่โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการให้ จำเลยทราบจึงไปคัดค้านขอให้เจ้าพนักงานที่ดินงดดำเนินการ แต่เจ้าพนักงานที่ไม่ยอมงด ขอให้ศาลสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาพระโขนง งดทำการรังวัดแบ่งแยกและจดทะเบียนกรรมสิทธิ์โอนที่ดินดังกล่าวให้โจทก์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ที่กำหนดวันที่ 27 ธันวาคม 2532หมายความว่าหากคู่สัญญาไม่ปฏิบัติภายในกำหนด ถือว่าเป็นการผิดนัดอาจถูกบังคับคดีตามคำพิพากษาต่อไปมิได้หมายความว่าจะบังคับกันตามสัญญาต่อไปไม่ได้ ให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์จำเลยซึ่งทำต่อหน้าศาลและศาลพิพากษาคดีไปตามยอม เมื่อวันที่22 พฤศจิกายน 2531 มีข้อความว่า
ข้อ 1. จำเลยตกลงยินยอมขายส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 73299ตำบลสวนหลวง อำเภอพระโขนง จังหวัดพระนคร ด้านทิศใต้กว้าง 3 เมตรยาวตลอดแนวเขตที่ดินดังกล่าว ตามแผนที่สังเขปเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 11 ให้แก่โจทก์ในราคา 18,000 บาท โดยจำเลยจะดำเนินการให้มีการรังวัดแบ่งแยกและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์ในวันที่ 27 ธันวาคม 2532 หากจำเลยไม่ดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดดังกล่าวก็ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย
ข้อ 2. โจทก์ยินยอมตกลงรับซื้อที่ดินตามข้อ 1 จากจำเลยและจะชำระราคาที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยภายในวันที่ 27 ธันวาคม 2532ค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมในการรังวัดแบ่งแยกรวมตลอดจนถึงจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์โจทก์จะเป็นผู้ออกเองทั้งหมด

ฯลฯ
พิเคราะห์แล้วตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว กำหนดเป็นหน้าที่ของจำเลยต้องเป็นผู้ดำเนินการให้มีการรังวัดแบ่งแยกและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์วันที่ 27 ธันวาคม 2532 หากจำเลยไม่ดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในเวลาดังกล่าว ก็ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย ส่วนโจทก์คงมีหน้าที่ต้องชำระราคาที่ดินจำนวน 18,000 บาท และเสียค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมในการรังวัดแบ่งแยกรวมตลอดถึงจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแบ่งแยก ซึ่งโจทก์ได้ชำระค่าที่ดินจำนวน 18,000 บาท แก่จำเลยแล้วเมื่อวันที่8 ธันวาคม 2532 แม้โจทก์จะไม่ได้ไปสำนักงานที่ดินเพื่อชำระค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมในการรังวัดและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในวันที่ 27 ธันวาคม 2532 ก็ตาม ก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์สละสิทธิซื้อที่ดินพิพาท ทั้งนี้เพราะตามสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์จำเลยที่ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2531มิได้มีข้อตกลงกันไว้เช่นนั้น กรณีจึงมิอาจดำเนินการตามที่จำเลยร้องขอมาได้เรื่องนี้เป็นเรื่องการบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลหากจำเลยเห็นว่าโจทก์ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลอย่างไรก็ชอบที่จะร้องขอต่อศาลให้บังคับโจทก์ปฏิบัติตามคำพิพากษานั้นได้
พิพากษายืน

Share