แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ทำหนังสือไว้ต่ออำเภอว่า ยินดียกที่ดินมือเปล่าให้แก่ทางราชการ เพื่อใช้เป็นสถานที่ปลูกสร้างสถานที่ราชการต่างๆโดยไม่คิดมูลค่านั้น เป็นการจะยกที่ดินให้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้สร้างสถานที่ราชการเท่านั้น เมื่อทางราชการไม่ใช้ที่ดินตามวัตถุประสงค์ของผู้ยกให้และไม่ได้เข้าเกี่ยวข้องอะไรในที่ดิน ก็ยังถือไม่ได้ว่าที่ดินตกเป็นของทางราชการแล้ว
การนับเวลาฟ้องร้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งฯ มาตรา 1375 ต้องมีพฤติการณ์แสดงออกถึงการแย่งการครอบครองในวันที่จะเริ่มนับเวลาการแย่งการครอบครอง ที่พิพาทโจทก์มีสิทธิครอบครอง การที่เจ้าพนักงานออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) คลุมถึงที่พิพาทให้จำเลยไปโดยโจทก์ไม่ทราบ ไม่ได้มาระวังแนวเขตจำเลยยืนยันให้เจ้าพนักงานทำการรังวัดเอง โดยให้คำรับรองว่าหากเกิดผิดพลาดเสียหายประการใดจำเลยยอมรับผิดชอบเองทั้งสิ้น และไม่ปรากฏว่าจำเลยได้แสดงการครอบครองที่พิพาทอย่างไร ดังนี้ ฟังไม่ได้ว่าเป็นการแย่งการครอบครองกำหนดเวลาฟ้องร้องจึงยังไม่เริ่มนับ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 468/2508)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภริยาร้อยตรีต่วนซึ่งถึงแก่กรรมไปแล้ว ที่ดินมือเปล่าอยู่ที่หมู่ที่ 4 ตำบลจักราช ฯ เนื้อที่ 7 ไร่ 2 งาน จำนวน 1 แปลง เป็นสินสมรสของโจทก์กับร้อยตรีต่วน เมื่อ พ.ศ. 2513 จำเลยกับพวกได้ขอและออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดิน (น.ส.3) ของจำเลยแปลงซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของโจทก์ทับที่ดินของโจทก์ เข้ามาเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ 2 งานโจทก์และทายาทของร้อยตรีต่วนเพิ่งทราบเมื่อต้นปี พ.ศ. 2516 และเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2515 จำเลยกับพวกได้เข้าไปตัดไม้ ถางป่า ขุดหลุมฝังหลักกั้นเขตทางด้านทิศตะวันออก เป็นการละเมิดต่อโจทก์ ขอให้ศาลเพิกถอนน.ส.3 เฉพาะส่วนที่ทับที่พิพาทของโจทก์ และห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้อง
จำเลยให้การว่าที่ดินตามฟ้อง ร้อยตรีต่วนได้ทำหนังสือจดทะเบียนยกให้แก่ทางอำเภอจักราชแล้ว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยมีที่ดินแปลงหนึ่งติดต่อกับที่ดินดังกล่าวเนื้อที่ประมาณ 13 ไร่ จำเลยได้ยกให้แก่ทางอำเภอจักราชครึ่งหนึ่ง ต่อมาปี พ.ศ. 2513 จำเลยได้นำเจ้าพนักงานที่ทำการรังวัดออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์รวมทั้งส่วนที่ยกให้แก่ทางอำเภอเป็นแปลงเดียวแต่ก่อนออก น.ส.3 ในปี พ.ศ. 2513 นั้น นายอำเภอจักราชเห็นว่าที่ดินที่จำเลยยกให้อำเภอมีเนื้อที่ไม่พอที่จะสร้างที่ทำการไปรษณีย์อำเภอ จึงได้ขอที่ดินเพิ่มเติม 2 ไร่ 2 งาน โดยทางอำเภอยกที่ดินของร้อยตรีต่วนจำนวนเนื้อที่เท่ากันให้แก่จำเลยเป็นการชดเชยแล้วทางเจ้าหน้าที่จึงรังวัดออก น.ส.3 ให้แก่จำเลยจำเลยได้ปักหลักเสาไม้แก่นตามแนวเขตแดน และได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทโดยเปิดเผยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาจนบัดนี้ ไม่มีใครโต้แย้งสิทธิ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า ร้อยตรีต่วนได้ยกที่ดินให้แก่อำเภอจักราชแล้ว โจทก์ไม่เป็นเจ้าของที่พิพาท พิพากษาให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์มิได้ฟ้องเอาคืนภายใน 1 ปีนับแต่เวลาถูกแย่ง พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามหนังสือลงวันที่ 25 ตุลาคม 2491 มีข้อความว่าที่ดินนี้นายร้อยตรีต่วน อาจงานหลวง เจ้าของยินดีจะยกให้แก่ทางราชการ เพื่อใช้เป็นสถานที่ปลูกสร้างที่ว่าการอำเภอและสถานที่ราชการต่าง ๆ โดยไม่คิดมูลค่าแต่ประการใด ทั้งคณะกรรมการได้ชี้แจงให้ทราบถึงประโยชน์ในการปลูกสร้างอำเภอให้นายร้อยตรีต่วน อาจงานหลวง เป็นที่เข้าใจดีแล้ว นายร้อยตรีต่วนจึงมีเจตนาและความจำนงยกที่แปลงนี้ให้ด้วยสมัครใจจากข้อความดังกล่าวแสดงว่า การที่เจ้าของที่ดินทำหนังสือจะยกที่ดินให้วัถตุประสงค์ก็เพื่อให้สร้างสถานที่ราชการเท่านั้น เมื่อทางราชการไม่ใช้ที่ดินตามวัตถุประสงค์ของร้อยตรีต่วนผู้ยกให้ และไม่ได้เข้าเกี่ยวข้องอะไร ที่ดินก็ยังถือไม่ได้ว่าตกเป็นของทางราชการแล้ว โจทก์คงถือสิทธิครอบครองมิได้ทอดทิ้ง ที่พิพาทจึงยังเป็นของโจทก์อยู่ จำเลยไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้องทำอะไรในที่พิพาท แม้ต่อมาจะปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ซึ่งคลุมถึงที่พิพาทให้จำเลยแล้วก็ตามร้อยตรีต่วนและโจทก์ก็ไม่ทราบไม่ได้มาระวังแนวเขต จำเลยยืนยันให้เจ้าพนักงานทำการรังวัดเอง โดยให้คำรับรองว่าหากเกิดผิดพลาดเสียหายประการใด จำเลยยอมรับผิดชอบเองทั้งสิ้นทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยได้แสดงการครอบครองที่พิพาทอย่างไรการนับเวลาการฟ้องร้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 นั้น จะต้องฟ้องภายใน 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง ต้องมีพฤติการณ์แสดงออกถึงการแย่งการครอบครองในวันที่จะเริ่มต้นนับเวลาถึงการแย่งการครอบครองในการฟ้องร้องตามข้อเท็จจริงดังกล่าวนี้ ไม่มีพฤติการณ์ใดแสดงออกให้เห็นว่าจำเลยได้แย่งการครอบครองของโจทก์ จึงฟังไม่ได้ว่าการที่เจ้าพนักงานออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้จำเลยนั้นเป็นการแย่งการครอบครอง กำหนดเวลาฟ้องร้องจึงยังไม่เริ่มนับตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ 468/2508 เพิ่งจะปรากฏว่าจำเลยจ้างนายสำอางค์แน่นกระโทก พยานโจทก์กับพวกไปถางป่า ขุดหลุมฝังหลักเขตเมื่อวันที่ 17ธันวาคม 2515 เป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์ ถือว่าเพิ่งเริ่มแย่งการครอบครองโจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2516 ภายในหนึ่งปีนับแต่เวลาที่จำเลยโต้แย้งสิทธิ คดีโจทก์จึงไม่ล่วงเลยเวลาการฟ้องร้อง
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์