แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ผู้ใดหามีสิทธิครอบครองและมีกรรมสิทธิ์ไม่ การยึดถือครอบครองสาธารณสมบัติของแผ่นดินไม่ก่อให้เกิดสิทธิใด ๆ แก่ผู้ยึดถือครอบครอง ผู้ยึดถือครอบครองหวงกันผู้อื่นได้ก็แต่ขณะที่ยึดถือครอบครองอยู่ เมื่อโจทก์มิใช่ผู้ยึดถือครอบครองแล้ว จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่ผู้ครอบครองได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตาม ส.ค. 1 เลขที่ 139หมู่ 1 (ขณะนี้เป็นหมู่ที่ 13หมู่ 1 (ขณะนี้เป็นหมู่ที่ 13) ตำบลลานบ่า อำเภอหล่อสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ เนื้อที่ประมาณ 18 ไร่ โดยนางหลัก พาหาร บุตรโจทก์เป็นผู้ยกให้เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2521 ต่อมาปี พ.ศ. 2523 นางน้อยสุขสวย บุตรโจทก์ได้มาขออาศัยทำกินในที่ดินดังกล่าวทางทิศเหนือเนื้อที่ประมาณ 9 ไร่เศษ โดยสัญญาว่าจะให้ข้าวแก่โจทก์ปีละ1 เกวียน ตลอดไป ครั้นในปี พ.ศ. 2524 นางน้อย สุขสวย ได้นำที่ดินแปลงนี้ไปให้จำเลยทำกิน โดยไม่ได้รับความยินยอม โจทก์ประสงค์จะเข้าทำประโยชน์ในที่ดินเอง จึงแจ้งให้จำเลยออกไปจากที่ดินแปลงพิพาทเมื่อเดือนมกราคม 2525 จำเลย ไม่ยอมออกไปกลับไถที่ดินเตรียมปลูกข้าว เป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ ขอให้ขับไล่จำเลยกับบริวารออกไปจากที่ดินแปลงพิพาท
จำเลยให้การว่า โจทก์ขายที่ดินเนื้อที่ประมาณ 12 ไร่า ซึ่งรวมทั้งที่ดินแปลงพิพาทให้กับนางน้อยและนายนะ สิงหะ ผู้เป็นบุตรีและบุตรเขยโจทก์แล้ว ต่อมาเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2523 นางน้อยกับนายนะ สิงหะ กู้เงินจำเลยไป 15,000 บาท โดยยอมให้จำเลยเข้าทำกินในที่พิพาทต่างดอกเบี้ยเป็นเวลา 3 ปี โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ยกฟ้อง
ก่อนสืบพยาน โจทก์ถึงแก่กรรม นางหลักหรือหลัด พาหาร บุตรโจทก์ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน สำหรับประชาชนใช้ร่วมกัน โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความ (ชั้นอุทธรณ์)แทนจำเลย 700 บาท
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์นำสืบว่า ที่ดินพิพาทมีเนื้อประมาณ10 ไร่ ตั้งอยู่หมู่ที่ 13 ตำบลลานบ่า อำเภอหล่อมสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่นางหลัก พาหาร บุตรโจทก์ยกให้โจทก์ หลังจากนั้นโจทก์ให้นางน้อยกับนายนะ สิงหะ บุตรีและบุตรเขยโจทก์เช่าทำนา คิดค่าเช่าเป็นข้าวเปลือกปีโจทก์เช่าทำนา คิดค่าเช่าเป็นข้าวเปลือกปีละ 100 ถัง นางน้อยนายนะ ทำกินในที่พิพาทอยู่ 1 ปี ก็ให้จำเลยทำกินต่างดอกเบี้ยโดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์แต่อย่างใด โจทก์ให้คนไปตามนางน้อย นายนะ มาจัดการในเรื่องนี้ บุคคลทั้งสองไม่ยอม และจำเลยไม่ยอมออกไปจากที่พิพาท แต่กลับทำกินในที่ดินต่อมาอีก 2 ปี โจทก์จึงฟ้องคดีนี้ โจทก์ไม่เคยขายที่ดินพิพาทแก่นางน้อย นายนะ
จำเลยนำสืบว่า ที่ดินพิพาทเป็นทีสาธรารณประโยชน์สำหรับประชาชนใช้เป็นที่เลี้ยงสัตว์ร่วมกัน เดิมโจทก์เป็นผู้ครอบครองใช้ทำไร่ทำนา ต่อมาเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2522 โจทก์ขายที่ดินแปลงพิพาทให้นางน้อย นายนะ เป็นเงิน 90,000 บาท ตามเอกสารหมายล.3 และบุคคลทั้งสองได้เข้าทำกินในที่ดินแปลงดังกล่าวตั้งแต่บัดนั้น เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2523 นางน้อย นายนะ ได้กู้เงินจำเลยไป 15,000 บาท แล้วทำสัญญามอบที่ดินพิพาทให้จำเลยและนายผินเลิศฤทธิ์ บุตรจำเลยทำกินต่างดอกเบี้ยมีกำหนด 3 ปี ตามเอกสารหมาย ล.1 และ ล.2 จำเลยและบุตรได้เข้าทำกินในที่ดินพิพาทตลอดมาโดยมีนางน้อย นายนะ เป็นผู้เสียภาษีบำรุงท้องที่ ตามเอกสารหมายล.4 ถึง ล.6
พิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์จำเลยแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน เดิมโจทก์เป็นผู้เข้าทำกัน ระหว่างปี พ.ศ. 2522 ถึงพ.ศ. 2523 นางน้อย นายนะ สิงหะ เป็นผู้เข้าทำกินต่อจากโจทก์มา1 ปี ต่อจากนั้น นางน้อย นายนะ ได้ยอมให้จำเลยทำกันต่างดอกเบี้ย
ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ผู้ใดหามีสิทธิครอบครองและมีกรรมสิทธิ์ไม่ โจทก์ไม่มีสิทธิให้นางน้อย นายนะ สิงหะ เช่าตามที่โจทก์นำสืบการที่โจทก์ให้นางน้อย นายนะ สิงหะ เช่าจึงเป็นการมอบการยึดถือครอบครองให้แก่นางน้อย นายนะ สิงหะ โจทก์ไม่ใช่ผู้ยึดถือที่พิพาท จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยผู้ครอบครองที่พิพาทอยู่ ที่โจทก์ฎีกาโต้แย้งว่า ที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้น ราษฎรกับราษฎรด้วยกันแล้วย่อมยกการครอบครองขึ้นใช้ยันกันได้ว่าใครมีสิทธิดีกว่ากันศาลฎีกาเห็นว่า การยึดถือครอบครองสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ไม่ก่อให้เกิดสิทธิใด ๆ แก่ผู้ยึดถือครอบครอง ผู้ยึดถือครอบครองหวงกันผู้อื่นได้ก็แต่ขณะที่ยึดถือครอบครองอยู่ เมื่อโจทก์มิใช่ผู้ยึดถือครอบครองแล้ว จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่ผู้ครอบครองได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.