แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
แม้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้นำทรัพย์พิพาทออกประมูลระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 และเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ประกาศให้ประมูลทรัพย์พิพาทในวันที่กำหนดแต่ก่อนถึงวันดังกล่าว โจทก์ยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะเข้าประมูลขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์พิพาทต่อไปและในวันนัดโจทก์ก็ไม่ไปร่วมประมูลด้วย เป็นการแสดงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีว่าโจทก์ไม่ตกลงด้วยในการประมูลทรัพย์พิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 เจ้าพนักงานบังคับคดีชอบที่จะรายงานศาลว่าการปฏิบัติตามคำพิพากษาในขั้นตอนที่สองที่ให้นำทรัพย์พิพาทออกประมูลระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2ถึงที่ 4 ไม่อาจกระทำได้ ขอให้มีคำสั่งขายทอดตลาดทรัพย์พิพาทแก่บุคคลทั่วไป อันเป็นการปฏิบัติตามคำพิพากษาขั้นตอนที่สามต่อไป การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีกลับให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4ประมูล แล้วขายทรัพย์พิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 จึงไม่ชอบ
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอแบ่งมรดกที่ดินโฉนดเลขที่ 800ตำบลในเมือง (โพธิ์กลาง) อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมากับบ้านเลขที่ 391/4, 391/7, และ 391/8 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าวศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ให้แบ่งมรดกที่ดินพร้อมบ้านเป็น18 ส่วน ตกได้แก่โจทก์ 1 ส่วน ให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 จดทะเบียนให้โจทก์ถือกรรมสิทธิ์รวม 1 ใน 18 ส่วน หากฝ่าฝืนก็ให้ดำเนินการจดทะเบียนได้โดยถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4การแบ่งแยกที่ดินและบ้าน 3 หลังข้างต้นถ้าไม่สามารถตกลงกันได้ให้ประมูลกันในระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 เอาเงินแบ่งให้โจทก์ตามส่วน หากการประมูลไม่ตกลงกันก็ให้นำออกขายทอดตลาดเอาเงินสุทธิแบ่งให้โจทก์ตามส่วน ต่อมาวันที่ 4 ธันวาคม 2532 ซึ่งเป็นวันนัดพร้อมปรากฏว่าโจทก์กับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ตกลงแบ่งทรัพย์พิพาทกันไม่ได้ศาลชั้นต้นจึงให้บังคับคดีโดยมีคำสั่งว่า “เมื่อคู่กรณีไม่สามารถตกลงราคากันได้ก็ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลฎีกาตอนท้าย คือให้นำทรัพย์สินพิพาทออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งกันตามส่วน และให้หมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการตามคำพิพากษาต่อไป” จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ตกลงชดใช้ราคาที่ดินพิพาทตามราคาที่โจทก์เสนอแล้ว ถือว่าคู่ความได้ตกลงประนีประนอมยอมความกันตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 4 ธันวาคม 2532 โจทก์ไม่มีสิทธิบังคับคดีตามคำพิพากษาต่อไป ขอให้งดการบังคับคดี ศาลชั้นต้นยกคำร้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 และศาลฎีกาพิพากษายืน คดีถึงที่สุด โจทก์จึงดำเนินการบังคับคดี ในระหว่างการประกาศขายทอดตลาดทรัพย์พิพาทจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีขอให้เรียกโจทก์มาเจรจาตกลงการแบ่งทรัพย์พิพาท หากตกลงกันไม่ได้ก็ให้ประมูลทรัพย์พิพาทกันระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4และถ้ายังตกลงกันไม่ได้จึงให้ขายทอดตลาดต่อไป เจ้าพนักงานบังคับคดีนัดพร้อมโจทก์และจำเลยทั้งสี่ ปรากฏตามสำเนารายงานเจ้าหน้าที่ของเจ้าพนักงานบังคับคดีลงวันที่ 22 กันยายน 2536 ว่าในวันนัดโจทก์ไม่ไปพบเจ้าพนักงานบังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงแจ้งให้จำเลยทั้งสี่ทราบว่าการตกลงแบ่งแยกทรัพย์พิพาทไม่เป็นผลเนื่องจากผู้แทนโจทก์ยื่นคำแถลงให้ยกเลิกการนัดพร้อม โดยถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะเจรจาและตกลงกับฝ่ายจำเลยอีกต่อไป และในวันนัดพร้อมผู้แทนโจทก์ไม่มา ถือว่าฝ่ายโจทก์ไม่ประสงค์จะเจรจากับจำเลยทั้งสี่ จึงแจ้งให้จำเลยทั้งสี่ทราบว่าการเจรจาไม่เป็นผล เจ้าพนักงานบังคับคดีจะดำเนินการขายทอดตลาดทรัพย์พิพาทให้แก่บุคคลทั่วไป จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 จึงยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่าคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีดังกล่าวไม่เป็นไปตามขั้นตอนคำพิพากษา จึงขอให้งดการขายทอดตลาดทรัพย์พิพาทและให้ประมูลขายระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ศาลชั้นต้นสั่งนัดพร้อมถึงวันนัดโจทก์ไม่มาศาล ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ประมูลขายทรัพย์พิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 24 พฤศจิกายน 2536 และวันที่ 1 ธันวาคม 2536 เจ้าพนักงานบังคับคดีประกาศขายที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยให้ประมูลกันระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 โดยกำหนดวันขายวันที่ 12 มกราคม 2537 โจทก์ยื่นคำร้องลงวันที่ 25 มกราคม 2537 ขอให้ศาลชั้นต้นยกเลิกคำสั่งดังกล่าวเพราะเป็นคำสั่งที่ผิดระเบียบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 แล้วมีคำสั่งใหม่เพื่อให้เป็นไปตามคำสั่งของศาลชั้นต้นลงวันที่ 4 ธันวาคม 2532 ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งว่าไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมให้ยกคำร้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 และศาลฎีกาพิพากษายืน คดีถึงที่สุด
เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2537 โจทก์ยื่นคำร้องอีกฉบับหนึ่งว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีขายทรัพย์พิพาทให้แก่จำเลยเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2537 เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะเป็นการไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลลงวันที่ 4 ธันวาคม 2532 และการที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์พิพาทก็เพื่อขายทอดตลาดตามคำพิพากษาของศาล จึงไม่อาจนำมาประมูลขายระหว่างโจทก์กับจำเลยอีก ทั้งจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ประมูลซื้อฝ่ายเดียว โจทก์ไม่ได้ร่วมประมูลด้วย ไม่ถือว่าเป็นการประมูลตามกฎหมายและต้องถือว่าตกลงประมูลกันไม่ได้ จึงไม่อาจจะขายทรัพย์พิพาทให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ได้ ประกาศขายทรัพย์พิพาทฉบับลงวันที่ 1ธันวาคม 2536 เป็นประกาศที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะมิได้กำหนดเงื่อนไขและวิธีการประมูล เงื่อนไขและวิธีการชำระราคาและการชำระค่าธรรมเนียมในการยึดและการประมูลขายไว้ ขอให้ศาลมีคำสั่งยกเลิกประกาศเจ้าพนักงานบังคับคดีฉบับลงวันที่ 1 ธันวาคม 2536 และยกเลิกการบังคับคดีของเจ้าพนักงานบังคับคดีตามประกาศดังกล่าวทั้งหมด
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้เพิกถอนการขายทอดตลาดทรัพย์พิพาท (ที่ถูกเป็นการขายทรัพย์พิพาท) ของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ดำเนินการขายไปเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2537 คำขออื่นให้ยก
จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ว่า การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทรัพย์พิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ชอบหรือไม่ เห็นว่า แม้ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งให้นำทรัพย์พิพาทออกประมูลระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 24 พฤศจิกายน 2536 และหลังจากนั้นเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ประกาศให้โจทก์กับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ประมูลทรัพย์พิพาทในวันที่ 12 มกราคม 2537 ตามประกาศของเจ้าพนักงานบังคับคดีลงวันที่ 1 ธันวาคม 2536 แต่ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏจากฎีกาของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ได้ความว่าก่อนถึงวันประมูลทรัพย์พิพาท คือ วันที่ 5 มกราคม 2537 โจทก์ยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะเข้าประมูลระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์พิพาทต่อไป ครั้นถึงวันนัดประมูลทรัพย์พิพาท โจทก์ก็ไม่ไปร่วมประมูลด้วยจากข้อเท็จจริงตามคำร้องที่โจทก์ยื่นต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีดังกล่าว ประกอบกับโจทก์ไม่ไปร่วมประมูลทรัพย์พิพาทในวันนัด ศาลฎีกาจึงเห็นว่าการกระทำของโจทก์เป็นการแสดงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีอย่างแจ้งชัดแล้วว่า โจทก์ไม่ตกลงด้วยในการประมูลทรัพย์พิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ดังนี้เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงชอบที่จะรายงานศาลว่า การปฏิบัติตามคำพิพากษาในขั้นตอนที่สองที่ให้นำทรัพย์พิพาทออกประมูลระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ไม่อาจกระทำได้ ขอให้มีคำสั่งขายทอดตลาดทรัพย์พิพาทแก่บุคคลทั่วไปอันเป็นการปฏิบัติตามคำพิพากษาขั้นตอนที่สามต่อไป แต่เจ้าพนักงานบังคับคดีกลับให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ทำการประมูลทรัพย์พิพาท แล้วขายทรัพย์พิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 จึงไม่ชอบ ที่ศาลล่างทั้งสองให้เพิกถอนการขายทรัพย์พิพาทของเจ้าพนักงานบังคับคดีเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2537 ชอบแล้ว ส่วนที่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ฎีกาว่า โจทก์มิได้ยื่นคำร้องคัดค้านภายใน 8 วันนับแต่วันทราบการผิดระเบียบ โจทก์จึงคัดค้านไม่ได้นั้น เห็นว่า ในวันที่ 12 มกราคม 2537 ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ประมูลทรัพย์พิพาทและขายทรัพย์พิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 นั้น โจทก์ไม่ได้ไปร่วมประมูลทรัพย์พิพาทด้วย โจทก์จึงไม่อาจทราบถึงการกระทำของเจ้าพนักงานบังคับคดี และตามสำนวนก็ไม่ปรากฏว่าโจทก์ทราบเมื่อใดคงได้ความแต่เพียงว่าโจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2537 จึงไม่อาจถือได้ว่าโจทก์ยื่นคำร้องพ้นกำหนด 8 วันนับแต่วันที่ทราบถึงการกระทำของเจ้าพนักงานบังคับคดี ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาว่า โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านไม่พ้นกำหนดนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน