แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฎีกาโจทก์ที่ว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน จึงต้องห้ามมิให้จำเลยต่อสู้กับแผ่นดินนั้น โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน โจทก์เพิ่งยกปัญหาข้อนี้ขึ้นกล่าวอ้างในฎีกาจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภททบวงการเมือง ได้ครอบครองที่ดินมือเปล่า 1 แปลง ใช้เป็นที่ทิ้งขยะและปลูกสร้างโรงเรือนสำหรับเก็บเครื่องมือเครื่องใช้เกี่ยวกับการเก็บขยะ และได้รับใบเหยียบย่ำ โจทก์ได้ถือสิทธิครอบครองเป็นเจ้าของด้วยความสงบและโดยเปิดเผยตลอดมาโดยไม่มีผู้ใดคัดค้าน และได้ให้ประทานบัตรแก่บริษัท ร. เพื่อทำเหมืองแร่ระยะหนึ่ง ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำขอรังวัดออกโฉนดที่ดินดังกล่าวและจำเลยที่ 2 ได้ยื่นคำร้องขอแบ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินครึ่งหนึ่ง จึงขอให้พิพากษาว่าโจทก์เป็นเจ้าของและมีสิทธิครอบครองที่พิพาท ห้ามจำเลยทั้งสองเกี่ยวข้อง
จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้คดีหลายประการ และต่อสู้ว่าโจทก์หมดสิทธิที่จะฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองในที่พิพาท ห้ามจำเลยทั้งสองเข้าเกี่ยวข้อง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 แย่งการครอบครองที่พิพาทไปจากโจทก์จำเลยที่ 2 ไม่ได้ครอบครองที่พิพาท ที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า โจทก์มิได้ฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน 1 ปี จึงไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า หลังจากที่ประทานบัตรให้ทำเหมืองดีบุกในที่พิพาทสิ้นอายุแล้ว โจทก์ไม่ได้เข้าครอบครองที่พิพาทอีก คงมีแต่จำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายครอบครองที่พิพาทตลอดมา จำเลยที่ 1 จึงมีสิทธิครอบครองในที่พิพาทและวินิจฉัยข้อกฎหมายว่าที่โจทก์ฎีกาว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 จึงต้องห้ามมิให้จำเลยต่อสู้กับแผ่นดินตามมาตรา 1305, 1306 และ 1307 นั้น โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน โจทก์เพิ่งยกปัญหาข้อนี้ขึ้นกล่าวอ้างในฎีกาจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน