แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้การว่าฟ้องเคลือบคลุม เพราะไม่บรรยายว่าจำเลยนำเช็คไปขายลดเท่าใด ชำระแล้วเท่าใด ค้างอีกเท่าใด แต่จำเลยที่ 1 ที่ 2 อุทธรณ์ว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะโจทก์ไม่ทราบยอดหนี้ที่แน่นอน ทำให้จำเลยไม่เข้าใจสภาพแห่งข้อหา ไม่สามารถต่อสู้คดีได้ถูกต้อง อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงแตกต่างไปจากที่ให้การต่อสู้คดีไว้ และศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัย จึงมิใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ใบมอบอำนาจให้ฟ้องคดี มี น. ผู้รับมอบอำนาจมาเบิกความรับรอง และยืนยันว่าได้มอบอำนาจให้ตนฟ้องคดีจริง แม้จะไม่ได้นำผู้มอบอำนาจมาเบิกความเป็นพยาน เมื่อจำเลยมิได้นำสืบหักล้างย่อมฟังได้ว่า โจทก์มอบอำนาจให้ น. ฟ้องคดีจริง โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ตามสัญญาขายลดเช็ค เมื่อเช็คที่จำเลยที่ 1 นำไปขายลดเรียกเก็บเงินไม่ได้ โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะยึดเช็คดังกล่าวไว้เพื่อใช้เป็นพยานหลักฐานในการเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญาขายลดเช็คได้ จำเลยที่ 1 ทำสัญญาขายลดเช็คให้โจทก์ แต่เรียกเก็บเงินไม่ได้จำเลยที่ 1 จึงสั่งจ่ายเช็คฉบับใหม่ให้แทนเพื่อเป็นประกันเช็คที่เรียกเก็บเงินไม่ได้ โดยไม่มีข้อตกลงว่าโจทก์จะต้องคืนเช็คที่ขายลดดังนี้ การสั่งจ่ายเช็คฉบับใหม่ให้โจทก์ไป จึงมิใช่เป็นการชำระหนี้และตามพฤติการณ์ถือว่าจำเลยที่ 1 ยินยอมให้โจทก์ยึดถือเช็คที่ขายลดไว้ได้ จำเลยที่ 1 ที่ 2 จะอ้างเหตุที่โจทก์ไม่คืนเช็คที่ทำสัญญาขายลดไว้ เพื่อปัดความรับผิดไม่ต้องชำระหนี้หาได้ไม่ การที่ น. ผู้รับมอบอำนาจโจทก์เบิกความว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามฟ้อง แต่หลังจากฟ้องแล้ว ทราบว่าจำเลยนำเงินมาชำระให้แก่โจทก์แต่จะเป็นจำนวนเท่าใดจำไม่ได้นั้น เป็นการเบิกความยืนยันว่าขณะโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นหนี้อยู่ตามฟ้อง เมื่อฟ้องแล้วหนี้ได้ลดลงเพราะได้มีการชำระหนี้กันบางส่วน เพียงแต่จำนวนเท่าใดจำไม่ได้เท่านั้น ทางพิจารณาจึงไม่ต่างกับฟ้อง แม้จำเลยที่ 3 ผู้ค้ำประกันจะมิได้อุทธรณ์ฎีกาในปัญหาเรื่องจำนวนเงินที่ตนจะต้องรับผิด เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยที่ 3ได้ทำสัญญาค้ำประกันร่วมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมในวงเงิน 2,000,000บาท และอุปกรณ์แห่งหนี้ ศาลฎีกาเห็นสมควรพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 3 ด้วย เพราะเป็นหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245(1) ประกอบ 247
ย่อยาว
โจทก์ฟ้อง ขอให้จำเลยที่ 1 รับผิดในฐานะลูกหนี้ตามสัญญาขายลดเช็ค เป็นเงิน 2,200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 21 ต่อปีและขอให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 รับผิดในฐานะผู้ค้ำประกัน โดยขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 3,697,432.33 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 21 ต่อปี ของต้นเงิน 2,200,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง และจำเลยที่ 1ได้นำต้นเงินและดอกเบี้ยไปชำระให้โจทก์แล้ว แต่โจทก์ไม่เคยตัดทอนบัญชีจำเลยไม่ต้องรับผิด และฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การทำนองเดียวกับจำเลยที่ 1 และต่อสู้ว่าโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 2 ทันที ชอบที่จะฟ้องจำเลยที่ 1เสียก่อน ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การทำนองเดียวกับจำเลยที่ 1 และต่อสู้ว่าไม่เคยทำสัญญาค้ำประกันกับโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน3,503,452.88 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 21 ต่อปีของต้นเงิน 2,200,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่นั้นจำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้การว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่บรรยายว่าจำเลยนำเช็คไปขายลดเท่าใด เรียกเก็บเงินได้เท่าใด เรียกเก็บเงินไม่ได้เท่าใด ชำระแล้วเท่าใด ค้างอีกเท่าใด การคิดดอกเบี้ยไม่แจกแจงให้เห็นว่าคิดจากต้นเงินเท่าใดระยะเวลาเท่าใด แต่จำเลยที่ 1 ที่ 2กลับอุทธรณ์ว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะโจทก์เบิกความว่า หลังจากโจทก์ฟ้องแล้ว จำเลยได้นำเงินมาชำระบางส่วนเท่าไรจำไม่ได้แสดงว่าโจทก์ไม่ทราบยอดหนี้ที่แน่นอน ทำให้จำเลยไม่เข้าใจสภาพแห่งข้อหาไม่สามารถต่อสู้คดีได้ถูกต้อง ดังนี้อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1ที่ 2 จึงแตกต่างไปจากที่ให้การต่อสู้คดีไว้ ซึ่งศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัย จึงมิใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง
ส่วนปัญหาว่า โจทก์มอบอำนาจให้นายนิสิต ถาวรศักดิ์เจริญฟ้องคดีหรือไม่ เห็นว่า ตามหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.3มีนายนที พานิชชีวะ และนางดารณี อัตตะนันทน์ ลงลายมือชื่อในช่องผู้มอบอำนาจโดยระบุว่ากระทำการแทนโจทก์ และใบมอบอำนาจมีตราของบริษัทโจทก์ประทับเป็นรอยดุน อยู่ ซึ่งตามหนังสือรับรองการจดทะเบียนของบริษัทโจทก์ เอกสารหมาย จ.1 กำหนดให้บุคคลดังกล่าวมีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ได้ โดยมีนายนิสิตผู้รับมอบอำนาจมาเบิกความรับรองและยืนยันว่า โจทก์ได้มอบอำนาจให้ตนฟ้องคดีจริง โดยจำเลยมิได้นำสืบหักล้าง แม้โจทก์ไม่ได้นำนายนทีและนางดารณีมาเบิกความเป็นพยานก็รับฟังได้แล้วว่าโจทก์มอบอำนาจให้นายนิสิต ถาวรศักดิ์เจริญฟ้องคดีจริง โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
ปัญหาต่อไปมีว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ให้แก่โจทก์เพราะโจทก์ไม่คืนเช็คที่จำเลยที่ 1 ขายลดไว้แก่โจทก์และเรียกเก็บเงินไม่ได้ให้แก่จำเลยที่ 1 หรือไม่ เห็นว่าโจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญาขายลดเช็คที่จำเลยที่ 1 ทำไว้กับโจทก์ตามสัญญา เมื่อเช็คทั้ง 9 ฉบับ ที่จำเลยที่ 1 นำไปขายลดให้แก่โจทก์เรียกเก็บเงินไม่ได้ โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะยึดเช็คดังกล่าวไว้เพื่อใช้เป็นพยานหลักฐานในการเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญาขายลดเช็คได้ ที่จำเลยอ้างว่าจำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเช็คจำนวน 9 ฉบับให้โจทก์ใหม่แล้ว โจทก์จะต้องคืนเช็คทั้ง 9 ฉบับที่จำเลยที่ 1ขายลดไว้ให้แก่จำเลยที่ 1 นั้น ปรากฏว่าตามหนังสือรับสภาพหนี้เอกสารหมาย ล.1 ที่จำเลยที่ 1 ทำไว้ให้โจทก์ไม่มีข้อความระบุไว้เลยว่า โจทก์จะต้องคืนเช็คที่ขายลดให้แก่จำเลยที่ 1 แต่กลับได้ความว่าเช็คที่จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายให้โจทก์ไปทั้ง 9 ฉบับนั้นก็เพื่อเป็นประกันเช็คที่เรียกเก็บเงินไม่ได้ หลังจากนั้นจำเลยที่ 1ได้ผ่อนชำระหนี้ให้แก่โจทก์หลายครั้งด้วยกัน ดังนี้การที่จำเลยที่ 1สั่งจ่ายเช็คทั้ง 9 ฉบับให้โจทก์ไป จึงมิใช่เป็นการชำระหนี้ และพฤติการณ์เช่นนี้ย่อมเป็นที่เชื่อได้ว่า จำเลยที่ 1 ยินยอมให้โจทก์ยึดถือเช็คที่ขายลดทั้ง 9 ฉบับไว้ จำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงอ้างเหตุที่โจทก์ไม่คืนเช็คที่ทำสัญญาขายลดเช็คไว้เพื่อปัดความรับผิดไม่ต้องชำระหนี้หาได้ไม่ การที่นายนิสิตผู้รับมอบอำนาจโจทก์เบิกความว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามฟ้อง แต่หลังจากฟ้องแล้ว ทราบว่าจำเลยนำเงินมาชำระให้แก่โจทก์แต่จะเป็นจำนวนเท่าใดจำไม่ได้นั้น เป็นการเบิกความยืนยันว่าขณะโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นหนี้อยู่ตามฟ้อง เมื่อฟ้องแล้วหนี้ได้ลดลงเพราะมีการชำระหนี้กันบางส่วน เพียงแต่จำนวนเท่าใดจำไม่ได้เท่านั้น ทางพิจารณาจึงไม่ต่างกับฟ้องดังที่จำเลยที่ 1ที่ 2 ฎีกา เมื่อทางพิจารณาฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์แล้วจำนวน 193,979.45 บาท จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดชำระหนี้ที่เหลือจำนวน 3,503,452.88 บาท แก่โจทก์ส่วนจำเลยที่ 2 นั้นได้ทำสัญญาค้ำประกันชำระหนี้ในวงเงิน 2,000,000บาท และอุปกรณ์แห่งหนี้ที่ศาลล่าง ทั้งสองให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในหนี้ในวงเงินจำนวน 2,200,000 บาท นั้น ไม่ถูกต้องสำหรับจำเลยที่ 3 ผู้ค้ำประกันแม้จะมิได้อุทธรณ์ฎีกาในปัญหาเรื่องจะต้องรับผิดชำระหนี้เท่าไรขึ้นมา เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยที่ 3 ได้ทำสัญญาค้ำประกันร่วมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมไว้ในวงเงิน2,000,000 บาท และอุปกรณ์แห่งหนี้เช่นเดียวกัน ก็สมควรพิพากษาให้มีผลไปถึงจำเลยที่ 3 ด้วย เพราะเป็นหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245(1) ประกอบมาตรา 247และปรากฏว่าเช็คที่นำมาขายลดครั้งสุดท้ายสั่งจ่ายเงินจำนวน 200,000บาท ซึ่งเกินกว่าวงเงินที่ค้ำประกันจำเลยที่ 2 ที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิด
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ในวงเงิน 2,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 21 ต่อปี นับแต่วันที่ลงในเช็คจนกว่าจะชำระเสร็จนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์