คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2772/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาซื้อขายมีความว่าผู้ขายได้ขายที่นา2ไร่เศษให้แก่ผู้ซื้อและยอมส่งมอบทรัพย์สินที่ขายให้แก่ผู้ซื้อผู้ซื้อชำระไว้30,000บาทก่อนและยังค้างผู้ซื้ออีก10,000บาทเป็นสัญญาซื้อขายที่ไม่ได้ระบุจำนวนเนื้อที่ดินไว้แน่นอนและไม่ได้กำหนดเวลาชำระเงินที่เหลือไว้จึงเป็นสัญญาที่ไม่ชัดแจ้งการที่โจทก์ผู้ซื้อนำสืบพยานบุคคลว่ายังต้องทำการรังวัดจำนวนเนื้อที่ดินกันก่อนแล้วจึงชำระราคาส่วนที่เหลือในวันโอนกรรมสิทธิ์จึงเป็นการนำสืบถึงข้อตกลงต่างหากจากสัญญาซื้อขายเพื่อให้สัญญาชัดเจนขึ้นและปฏิบัติตามสัญญาได้โจทก์จึงมีสิทธินำสืบพยานบุคคลได้ไม่เป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อความในเอกสาร

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำหนังสือสัญญาแบ่งขายที่ดินทางส่วนใต้ของโฉนดที่ดินเลขที่ 1618 เนื้อที่ 2 ไร่ 80 ตารางวาให้โจทก์ทั้งสองเป็นเงิน 44,000 บาท โจทก์ทั้งสองชำระเงินให้จำเลยไปในวันทำสัญญาเป็นเงิน 30,000 บาท คงค้างอีก 14,000 บาทจำเลยได้ส่งมอบที่ดินให้โจทก์ทั้งสองครอบครองทำประโยชน์ตั้งแต่วันทำสัญญา และรับว่าจะไถ่ถอนจำนองจากธนาคารกรุงไทยจำกัด แล้วนำไปขอจดทะเบียนแบ่งแยกให้โจทก์ทั้งสองภายในเดือนมีนาคม 2532 และโจทก์ทั้งสองจะชำระเงินส่วนที่เหลือในวันจดทะเบียนโอนเมื่อถึงเดือนมีนาคม 2532 จำเลยผัดผ่อนอ้างว่า ยังไม่มีเงินไถ่ถอนจำนองธนาคาร โจทก์ทั้งสองได้ตรวจสอบพบว่าจำเลยได้ไถ่ถอนจำนองจากธนาคารกรุงไทย จำกัดแล้วแต่ไม่ไปจดทะเบียนแบ่งแยกโอนให้โจทก์ทั้งสอง ขอให้บังคับจำเลยไปยื่นคำขอรังวัดจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่1618 ต่อเจ้าพนักงานที่ดินแล้วขายให้โจทก์ทั้งสอง หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา และให้จำเลยรับชำระค่าที่ดินจำนวน 14,000 บาท จากโจทก์ทั้งสอง
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยได้ทำสัญญาซื้อขายที่ดินกับโจทก์ทั้งสองตามฟ้อง แต่เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดและยังชำระราคาไม่หมด จำเลยทวงถามจากโจทก์ทั้งสองหลายครั้งแต่โจทก์ทั้งสองไม่ยอมชำระอ้างว่าไม่ประสงค์จะเอาที่ดินแล้วคู่กรณีต้องกลับคืนสู่สภาพเดิม ขอให้ยกฟ้องและขอให้โจทก์ทั้งสองรื้อถอนบ้านเลขที่ 156 สิ่งปลูกสร้างและต้นไม้ออกจากที่ดินจำเลยให้โจทก์ทั้งสองและบริวารออกไปจากที่ดินจำเลยและใช้ค่าเสียหาย นับแต่วันฟ้องจนกว่าโจทก์ทั้งสองจะออกไปจากที่ดินจำเลย
โจทก์ทั้งสองให้การแก้ฟ้องแย้งว่า สัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทเป็นสัญญาจะซื้อจะขาย ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยไปยื่นคำขอรังวัดจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดิน โฉนดเลขที่ 1618 ตำบลท่าช้าง อำเภอวิเศษชัยชาญจังหวัดอ่างทอง ตามแผนที่พิพาท ต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดอ่างทอง และจดทะเบียนโอนขายให้โจทก์ทั้งสองถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน หากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ให้จำเลยรับเงินค่าที่ดินค้างชำระจำนวน14,000 บาท จากโจทก์ทั้งสอง ยกฟ้องแย้งของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สัญญาซื้อขายมีความว่า “ผู้ขายได้ขายที่นาโฉนดที่ 1618 2 ไร่เศษ ให้แก่ผู้ซื้อ และยอมส่งมอบทรัพย์สินที่ขายให้แก่ผู้ซื้อชำระไว้ 30,000 บาท ก่อน และยังค้างผู้ซื้ออีก 10,000 บาท (หนึ่งหมื่นบาทเศษ)” เห็นว่าสัญญาซื้อขายดังกล่าวไม่ได้ระบุจำนวนเนื้อที่ดินไว้แน่นอน และไม่ได้กำหนดเวลาชำระเงินที่เหลือไว้ จึงเป็นสัญญาที่ไม่ชัดแจ้ง การที่โจทก์ทั้งสองนำสืบพยานบุคคลว่า ยังต้องทำการรังวัดจำนวนเนื้อที่ดินกันก่อน แล้วจึงชำระราคาส่วนที่เหลือในวันโอนกรรมสิทธิ์ เป็นการนำสืบถึงข้อตกลงต่างหากจากสัญญาซื้อขายเพื่อให้สัญญาชัดเจนขึ้นและปฏิบัติตามสัญญาได้ โจทก์ทั้งสองจึงมีสิทธินำสืบพยานบุคคลได้ ไม่เป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อความในเอกสารแต่อย่างใด เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยยังต้องไปรังวัดแบ่งแยกที่ดินพิพาทก่อนจึงจะทำการโอนกรรมสิทธิ์และชำระราคาที่เหลือ จึงไม่เป็นการซื้อขายเสร็จเด็ดขาด และไม่เป็นโมฆะ
พิพากษายืน

Share