คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2771/2548

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

คดีนี้โจทก์ขอให้จำเลยเวนคืนที่ดินที่เหลือจากการเวนคืนคราวก่อน แต่จำเลยไม่ดำเนินการจนเป็นเหตุให้โจทก์ต้องนำคดีมาฟ้อง และหลังจากนั้นอีก 1 ปี จำเลยเพิ่งมาตกลงซื้อที่ดินที่เหลือจากการเวนคืน เนื้อที่ 21 ตารางวา ราคาตารางวาละ 35,000 บาท กรณีเช่นนี้ไม่อาจนำบทบัญญัติตามมาตรา 10, 11 แห่ง พ.ร.บ. ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ฯ ในเรื่องที่เกี่ยวกับการจัดซื้อที่ดินที่ถูกเวนคืนจากเจ้าของหรือผู้ครอบครองที่ไม่อาจตกลงกันได้ในเรื่องจำนวนเงินค่าทดแทนซึ่งเจ้าหน้าที่ผู้จัดซื้อจะต้องจ่ายเงินค่าอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดแก่เจ้าของหรือผู้ครอบครองภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันทำสัญญาซื้อขายมาอนุโลมใช้บังคับเพื่อคำนวณหาวันที่โจทก์มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยได้ เพราะบทบัญญัติในส่วนนี้ใช้บังคับสำหรับกรณีที่มีการตกลงทำสัญญาซื้อขายอสังหาริทรัพย์กันได้ก่อนนำคดีมาฟ้องศาล เมื่อศาลพิพากษาให้จำเลยชำระค่าทดแทนที่ดินเพิ่มขึ้น ฝ่ายจำเลยจึงต้องชำระดอกเบี้ยในจำนวนค่าทดแทนที่ดินที่เพิ่มขึ้นนับจากวันที่มีการทำสัญญาซื้อขายไปอีกหนึ่งร้อยยี่สิบวัน แต่สำหรับคดีนี้โจทก์ไม่พอใจที่ฝ่ายจำเลยเพิกเฉยไม่เวนคืนที่ดินที่เหลือจากการเวนคืน โจทก์จึงนำคดีมาฟ้องต่อศาลโดยจำเลยยังไม่ได้ตกลงซื้อที่ดินที่เหลือจากการเวนคืนของโจทก์ ดังนั้น เมื่อโจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีก็ชอบที่จะให้ฝ่ายจำเลยชำระดอกเบี้ยนับจากวันฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองเวนคืนที่ดินที่เหลือจากการเวนคืนในราคาตามท้องตลาด ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 13,789,106.83 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 10 ต่อปี ของต้นเงิน 12,160,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงินแก่โจทก์ 315,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประเภทฝากประจำของธนาคารออมสิน (แต่ไม่เกินร้อยละ 10 ตามที่โจทก์ขอ) นับแต่วันที่ 10 ธันวาคม 2540 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 (อธิบดีกรมทางหลวง) ซื้อที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 204396 ด้านทิศเหนือซึ่งเหลืออยู่เนื้อที่ 21 ตารางวา ในอัตราตารางวาละ 40,000 บาท รวมเป็นเงิน 840,000 บาท พร้อมชำระดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประเภทฝากประจำของธนาคารออมสินในจำนวนดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 30 ตุลาคม 2541) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาคณะคดีปกครองวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นตามที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้ว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 204396 ของโจทก์ถูกเวนคืนบางส่วนเป็นเหตุให้มีที่ดินที่เหลือจากการเวนคืนเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเนื้อที่ 21 ตารางวา และอีกส่วนหนึ่งเนื้อที่ 131 ตารางวา โจทก์จึงมีหนังสือแจ้งให้จำเลยทั้งสองเวนคืนที่ดินส่วนที่เหลือจากการเวนคืนทั้งหมดเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2540 แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ต่อมาวันที่ 30 ตุลาคม 2541 โจทก์จึงนำคดีมาฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองเวนคืนที่ดินที่เหลือจากการเวนคืนในราคาตารางวาละ 80,000 บาท ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นวันที่ 14 กรกฎาคม 2542 เจ้าหน้าที่ผู้ดำเนินการตามพระราชกฤษฎีกาฯ ได้ตกลงซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 204396 ในส่วนเนื้อที่ 21 ตารางวา ในราคาตารางวาละ 35,000 บาท จากโจทก์ ตามสำเนาบันทึกข้อตกลงยินยอมเอกสารหมาย ล.22 และโจทก์ได้รับเงินไปแล้วเป็นเงิน 735,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน 2542 ตามสำเนาใบสำคัญรับเงินเอกสารหมาย ล.23 ต่อมาศาลชั้นต้นพิพากษากำหนดราคาที่ดินเนื้อที่ 21 ตารางวา ที่จำเลยทั้งสองซื้อไปเป็นตารางวาละ 50,000 บาท ส่วนที่ดินเนื้อที่ 131 ตารางวา จำเลยทั้งสองไม่จำต้องเวนคืนหรือจัดซื้อ โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 2 ซื้อที่ดินเนื้อที่ 21 ตารางวา จากโจทก์ในราคาตารางวาละ 40,000 บาท มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อแรกว่า ที่ดินเนื้อที่ 21 ตารางวา ที่เหลือจากการเวนคืนควรมีราคาเท่าใด เห็นว่า ในกรณีที่เจ้าของที่ดินร้องขอให้เจ้าหน้าที่จัดซื้อที่ดินส่วนที่เหลือจากการเวนคืน ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.2530 มาตรา 20 วรรคหนึ่ง นั้น อัตราเงินค่าทดแทนที่ดินส่วนที่เหลือจากการเวนคืนควรจะเป็นอัตราเดียวกันกับอัตราเงินค่าทดแทนที่ดินที่ยุติแล้วสำหรับที่ดินส่วนที่ถูกเวนคืน หาใช่อัตราที่ดินแปลงอื่นที่มีการซื้อขายหรือถูกเวนคืนตามที่โจทก์กล่าวอ้างมาในฎีกาแต่อย่างใดไม่ ทั้งตามโจทก์นำสืบได้ความแต่เพียงว่า เมื่อที่ดินของโจทก์ถูกเวนคืนและโจทก์ไม่พอใจในอัตราเงินค่าทดแทนที่ดินที่คณะกรรมการกำหนดราคาเบื้องต้นฯ กำหนดให้ตารางวาละ 35,000 บาท โจทก์จึงอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีฯ ต่อมาคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ฯ วินิจฉัยเพิ่มเป็นตารางวาละ 40,000 บาท และรัฐมนตรีฯ เห็นชอบด้วย ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับเงินค่าทดแทนที่ดินมากไปกว่าที่รัฐมนตรีฯ วินิจฉัย ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยกำหนดราคาที่ดินที่จำเลยทั้งสองซื้อจากโจทก์ในอัตราตารางวาละ 40,000 บาท นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ข้อต่อไปว่า จำเลยที่ 2 จะต้องชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์เมื่อใด เห็นว่า คดีนี้โจทก์ขอให้ฝ่ายจำเลยเวนคืนที่ดินที่เหลือจากการเวนคืนตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2540 ตามสำเนาเอกสารหมาย จ.10 และ ล.18 แล้ว แต่ฝ่ายจำเลยไม่ดำเนินการให้จนเป็นเหตุให้โจทก์ต้องนำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2541 หลังจากนั้นเกือบ 1 ปี ฝ่ายจำเลยเพิ่งมาตกลงซื้อที่ดินที่เหลือจากการเวนคืนในส่วนเนื้อที่ 21 ตารางวา ของโจทก์ในราคาตารางวาละ 35,000 บาท กรณีเช่นนี้จึงไม่อาจนำบทบัญญัติตามมาตรา 10 และมาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.2530 ในเรื่องที่เกี่ยวกับการจัดซื้อที่ดินที่ถูกเวนคืนจากเจ้าของหรือผู้ครอบครองที่ไม่อาจตกลงกันได้ในเรื่องจำนวนเงินค่าทดแทน ซึ่งเจ้าหน้าที่ผู้จัดซื้อต้องจ่ายเงินค่าอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดแก่เจ้าของหรือผู้ครอบครองภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันทำสัญญาซื้อขายมาอนุโลมใช้บังคับเพื่อคำนวณหาวันที่โจทก์มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยได้ เพราะบทบัญญัติในส่วนนี้ใช้บังคับสำหรับกรณีที่มีการตกลงทำสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์กันได้ก่อนนำคดีมาฟ้องศาล เมื่อศาลพิพากษาให้ฝ่ายจำเลยชำระเงินค่าทดแทนที่ดินเพิ่มขึ้น ฝ่ายจำเลยจึงต้องชำระดอกเบี้ยในจำนวนเงินค่าทดแทนที่ดินที่เพิ่มขึ้นนับจากวันที่มีการทำสัญญาซื้อขายไปอีกหนึ่งร้อยยี่สิบวัน สำหรับคดีนี้โจทก์ไม่พอใจที่ฝ่ายจำเลยเพิกเฉยไม่เวนคืนที่ดินที่เหลือจากการเวนคืน โจทก์จึงนำคดีมาฟ้องต่อศาลโดยที่ฝ่ายจำเลยยังไม่ได้ตกลงซื้อที่ดินที่เหลือจากการเวนคืนของโจทก์ ดังนั้น เมื่อโจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีก็ชอบที่จะให้ฝ่ายจำเลยชำระดอกเบี้ยนับถัดจากวันฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้จำเลยที่ 2 ชำระดอกเบี้ยนับแต่วันถัดจากวันฟ้องจึงชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
อนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้จำเลยที่ 2 ซื้อที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 204396 ด้านทิศเหนือเนื้อที่ 21 ตารางวา ในอัตราตารางวาละ 40,000 บาท เป็นเงิน 840,000 บาท พร้อมชำระดอกเบี้ยในต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จนั้น เห็นว่าคลาดเคลื่อนไปจากพยานหลักฐานในสำนวนเพราะผู้ได้รับมอบอำนาจจากเจ้าหน้าที่ผู้ดำเนินการตามพระราชกฤษฎีกาฯ ได้ซื้อที่ดินดังกล่าวจากโจทก์เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2542 และโจทก์ได้รับเงินไปบางส่วนเป็นจำนวน 735,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน 2542 แล้ว เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้จำเลยที่ 2 ซื้อที่ดินดังกล่าวในอัตราตารางวาละ 40,000 บาท เพิ่มขึ้นจากอัตราเดิมอีกตารางวาละ 5,000 บาท ซึ่งคิดเป็นเงิน 105,000 บาท ก็จะต้องกำหนดให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินในส่วนที่เพิ่มขึ้นนี้พร้อมกับดอกเบี้ยตามจำนวนเงินต้นที่โจทก์มีสิทธิได้รับแตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลา ปัญหาดังกล่าวศาลฎีกาไม่เห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยและพิพากษาใหม่ แต่เห็นสมควรวินิจฉัยโดยแก้ไขคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในส่วนนี้ใหม่ให้ถูกต้อง”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ชำระราคาที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 204396 เนื้อที่ 21 ตารางวา เพิ่มขึ้นอีก 105,000 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประเภทฝากประจำของธนาคารออมสิน แต่ไม่เกินร้อยละ 10 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอของต้นเงิน 840,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนถึงวันที่ 27 กันยายน 2542 และดอกเบี้ยตามนัยดังกล่าวข้างต้นของต้นเงิน 105,000 บาท นับแต่วันที่ 28 กันยายน 2542 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share