คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2769/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ธ.เบิกความว่า เห็นถึงกระดาษวางอยู่บนโต๊ะที่เข้าไปนั่งจึงบอกให้จำเลยเก็บไป ต่อมาประมาณ 10 นาทีผู้เสียหายเข้ามาถามหาถุงกระดาษ ธ. บอกว่าเรียกให้จำเลยเอาไปเก็บที่หลังตู้แล้ว แต่ขณะนั้นจำเลยไม่อยู่แล้วผู้เสียหายจึงตามไป ธ. เป็นประจักษ์พยานของโจทก์ไม่รู้จักผู้เสียหายและเป็นผู้หยิบถุงกระดาษใส่เงินให้จำเลยเอง จึงเป็นผู้รู้เห็นเหตุการณ์ใกล้ชิดจำเลยห่างกันไม่เกิน 2 เมตร หลังเกิดเหตุ ธ. ไปที่สถานีตำรวจพบจำเลยก็ยืนยันต่อเจ้าพนักงานตำรวจทันทีว่าจำเลยคือผู้ที่ ธ.เรียกมาเก็บถุงกระดาษใส่เงินและชั้นสอบสวน ธ.เป็นผู้นำชี้ที่เกิดเหตุ ดังนี้คำเบิกความของ ธ. มีเหตุผลน่าเชื่อถือ จำเลยเป็นผู้เอาถุงกระดาษใส่เงินของผู้เสียหายไปและหลังจากรู้ตัวว่าลืมถุงกระดาษใส่เงินไว้ที่ร้านจำเลยเพียง 10 นาที ผู้เสียหายก็รีบออกจากสำนักงานที่ดินซึ่งอยู่บริเวณเดียวกับร้านจำเลยติดตามหาถุงกระดาษใส่เงินทันที เช่นนี้ถือได้ว่าผู้เสียหายยังมีการครอบครองถุงกระดาษใส่เงินอยู่ เมื่อจำเลยเอาไปจึงมีความผิดฐานลักทรัพย์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 334 ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ลักไปให้แก่ผู้เสียหายด้วย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 334 ให้จำคุก 9 เดือน ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ลักจำนวน 50,000 บาท แก่ผู้เสียหายด้วย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์จำเลยโดยตลอดแล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ ผู้เสียหายได้เอาเงินจำนวน 50,000 บาทแคชเชียร์เช็คธนาคารทหารไทย จำกัด สาขาหนองจอกสั่งจ่ายเงินจำนวน 110,000 บาท 1 ฉบับ และสมุดบัญชีเงินฝากอีก 1 เล่ม ใส่ในถุงกระดาษเพื่อไปจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมซื้อที่ดินที่สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขามีนบุรีและผู้เสียหายได้แวะรับประทานก๋วยเตี๋ยวที่ร้านของจำเลยมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่า ผู้เสียหายลืมถุงกระดาษใส่เงินไว้ที่ร้านจำเลยและจำเลยลักเอาถุงกระดาษใส่เงินดังกล่าวไปหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายและนายประยงค์ เหมกรณ์ เป็นพยานเบิกความทำนองเดียวกันว่า ผู้เสียหายกับนายประสงค์ไปตามหาถุงใส่เงินที่ร้านจำเลย มีชายคนหนึ่งนั่งรับประทานก๋วยเตี๋ยวอยู่ที่โต๊ะที่ผู้เสียหายเคยนั่งอยู่เมื่อสักครู่พูดว่าตนพบห่อเงินอยู่บนโต๊ะและได้หยิบห่อเงินดังกล่าวส่งให้เจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวแต่เจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวหายตัวไปแล้วนายธงชัย ตันตราทร ประจักษ์พยานโจทก์เบิกความว่าวันเกิดเหตุพยานไปที่สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขามีนบุรีไปติดต่อเรื่องเกี่ยวกับการโอนที่ดินจนกระทั่งเวลา 11 นาฬิกาก็ลงมาจากสำนักงานที่ดินดังกล่าวมารับประทานก๋วยเตี๋ยวที่ร้านของจำเลย พยานเห็นถุงกระดาษวางอยู่บนโต๊ะที่เข้าไปนั่งจึงได้เรียกจำเลยมาถามว่าถุงของใคร จำเลยบอกว่าสงสัยลูกค้าที่รับประทานก๋วยเตี๋ยวเมื่อกี้ลืมไว้ พยานจึงบอกให้จำเลยเก็บไปจำเลยเก็บถุงดังกล่าวไปวางไว้บนตู้ก๋วยเตี๋ยว ต่อมาประมาณ10 นาที ผู้เสียหายเข้ามาถามหาถุงกระดาษ พยานถามผู้เสียหายว่าใช่ถุงกระดาษที่วางบนโต๊ะที่พยานนั่งไหม ผู้เสียหายบอกว่าใช่พยานก็บอกว่าพยานเรียกให้จำเลยเอาไปเก็บที่หลังตู้แล้วพยานมองสำรวจแล้วจำเลยไม่อยู่จึงบอกว่าคนที่เก็บถุงตอนนี้ไม่อยู่แล้ว ผู้เสียหายจึงตามไป ครั้นเวลา 14 นาฬิกา พยานทำธุระอยู่บนสำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขามีนบุรี ผู้เสียหายก็มาบอกว่า เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยได้ ให้ไปดูตัวที่สถานีตำรวจนครบาลมีนบุรี เมื่อพยานไปถึงสถานีตำรวจพบจำเลยนั่งอยู่กับเจ้าพนักงานตำรวจ เจ้าพนักงานตำรวจถามว่าใช่ผู้หญิงคนนี้ไหมที่พยานหยิบถุงกระดาษส่งให้ พยานบอกว่าใช่ ร้อยตำรวจโทภคพงษ์ เฉียบแหลม พยานโจทก์ปากหนึ่งเบิกความว่า พยานเป็นพนักงานสอบสวนคดีนี้ นายธงชัยได้ให้การว่าได้พบห่อเงินวางอยู่ที่โต๊ะอาหาร นายธงชัยจึงเรียกจำเลยมาเก็บเอาไป พยานได้ตรวจสถานที่เกิดเหตุทำบันทึกและแผนที่เกิดเหตุไว้กับถ่ายภาพประกอบไว้ด้วย ปรากฏตามภาพถ่ายหมาย จ.2, จ.3และ จ.4 ศาลฎีกาเห็นว่า นายธงชัย เป็นประจักษ์พยานของโจทก์ไม่รู้จักผู้เสียหายและพยานเป็นผู้หยิบถุงกระดาษใส่เงินให้จำเลยเองจึงเป็นผู้รู้เห็นเหตุการณ์อยู่ใกล้ชิดจำเลยห่างกันไม่เกิน 2 เมตรเมื่อเกิดเหตุแล้วนายธงชัยไปที่สถานีตำรวจนครบาลมีนบุรีพบจำเลยก็ยืนยันต่อเจ้าพนักงานตำรวจทันทีว่าใช่ผู้ที่นายธงชัยเรียกมาเก็บถุงกระดาษใส่เงิน ชั้นสอบสวนนายธงชัยเป็นผู้นำชี้ทำแผนที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.2 จ.3 นายธงชัยประจักษ์พยานโจทก์เบิกความมีเหตุผลเชื่อว่าเบิกความตามจริง พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักรับฟังได้พยานจำเลยไม่มีน้ำหนักรับฟังหักล้างพยานโจทก์ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติได้ว่า จำเลยเป็นผู้เอาถุงกระดาษใส่เงินของผู้เสียหายไป และหลังจากรู้ตัวว่าลืมถุงกระดาษใส่เงินไว้ที่ร้านจำเลยเพียง 10 นาที ผู้เสียหายก็รีบออกจากสำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขามีนบุรี ซึ่งอยู่ในบริเวณเดียวกันกับร้านจำเลยติดตามหาถุงกระดาษใส่เงินทันทีพฤติการณ์เช่นนี้ถือได้ว่าผู้เสียหายยังมีการครอบครองถุงกระดาษใส่เงินอยู่เมื่อจำเลยเอาไปจำเลยจึงมีความผิดฐานลักทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 หาใส่เป็นความผิดฐานยักยอกของตกหายดังที่จำเลยฎีกาไม่ ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษจำเลยไว้ เพราะจำเลยไม่เคยกระทำความผิดมาก่อนและผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจลงโทษจำเลยเหมาะสมแก่รูปคดีแล้ว และการกระทำผิดของจำเลยฐานลักทรัพย์คดีนี้เป็นความผิดที่ไม่อาจยอมความกันได้ ดังนั้นแม้ผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความก็ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share