คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2769/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ศาลพิพากษาตามยอมคดีถึงที่สุดแล้ว แต่เมื่อจำเลยยังมิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอมให้ครบถ้วนและถูกต้อง แม้โจทก์ทำหนังสือสัญญายกที่ดินสามยทรัพย์ให้บุตร และต่อมาบุตรโจทก์ได้ฟ้องจำเลยเกี่ยวกับทางภาระจำยอมรายเดียวกันนี้ก็ตาม สิทธิของโจทก์ที่จะขอให้บังคับคดีนี้ต่อไป อันเป็นบุคคลสิทธิก็ยังคงมีอยู่ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ และคำพิพากษาตามยอมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคแรก
จำเลยเป็นเจ้าของภารยทรัพย์ ปลูกสร้างตึกแถวรุกล้ำทางภาระจำยอมและถมดินลงในลำกระโดงสาธารณะให้โจทก์ใช้แทนทางภาระจำยอมเดิมบางส่วน เป็นการประกอบกรรมอันเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมลดไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1390 และเมื่อจำเลยกระทำดังกล่าวขึ้นภายหลังที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่ต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอมโจทก์ชอบที่จะขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนตึกแถวที่จำเลยปลูกสร้างรุกล้ำทางภาระจำยอม และทำทางภาระจำยอมให้อยู่ในสภาพที่โจทก์จะใช้ได้โดยสะดวกเหมือนเดิมได้.

ย่อยาว

กรณีสืบเนื่องมาจากโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า จำเลยยอมให้โจทก์ใช้ทางภาระจำยอมได้ตลอดไปและยอมถมที่ดินในทางภาระจำยอมจนชิดหน้าประตูรั้วบ้านโจทก์ กว้าง 4 เมตร เพื่อให้เชื่อมกับฝ่ายที่โจทก์ทำถนนจากที่ดินโจทก์ออกมาบรรจบกัน ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดแล้ว ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องว่าจำเลยปลูกสร้างตึกแถวรุกล้ำทางภาระจำยอมและโอนตึกแถวให้บุคคลอื่นอีกด้วย เป็นการหลีกเลี่ยงคำบังคับ ทำให้โจทก์ไม่สามารถใช้ทางภาระจำยอมได้สะดวกจำเลยยังมิได้ปฏิบัติตามคำบังคับ จำเลยแถลงว่าได้ปฏิบัติตามคำบังคับโดยครบถ้วนทุกประการแล้ว
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งว่า ให้จำเลยรวมทั้งผู้ที่ซื้อหรือรับโอนตึกแถวห้องเลขที่ 1809/2 และ 1809/56 ถึง 1809/66รื้อถอนตึกแถวและสิ่งก่อสร้างต่างๆ เฉพาะส่วนที่ปิดกั้นทางภาระจำยอมกว้าง 3 เมตร ยาว 60 เมตร ตามที่ปรากฏในเส้นสีแดงตามแผนที่พิพาททั้งหมดให้ทำทางภาระจำยอมให้อยู่ในสภาพที่สามารถใช้เป็นทางเข้าออกสู่ถนนเจริญนครได้โดยสะดวก รวมทั้งท่อน้ำทิ้งจากชายคาของสิ่งก่อสร้างดังกล่าว ซึ่งยื่นออกมาเป็นเหตุให้น้ำทิ้งตกลงบนทางภาระจำยอมด้วยโดยจำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย หากจำเลยและผู้ซื้อหรือผู้รับโอนตึกแถวบางห้องดังกล่าว ไม่ปฏิบัติตามที่กล่าวข้างต้น ก็ให้โจทก์ขอคำสั่งศาลเพื่อให้มีการรื้อถอนตึกแถวพร้อมสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น และทำทางภาระจำยอมให้อยู่ในสภาพที่ใช้การได้โดยสะดวก โดยให้บุคคลภายนอกเป็นผู้ทำ แต่ให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้รื้อถอนตึกแถวและสิ่งก่อสร้างต่างๆ เฉพาะที่ปิดกั้นทางภาระจำยอมไม่ผูกพันบุคคลภายนอก ซึ่งเป็นผู้รับโอนตึกแถวและที่ดินรวม 8แปลงตามโฉนดเลขที่ 17845 ถึง 17850 และโฉนดเลขที่ 17854, 17855นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สำหรับปัญหาว่า โจทก์มีสิทธิขอให้บังคับคดีได้หรือไม่นั้น เห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่จำเลยนำสืบว่า โจทก์ทำหนังสือสัญญายกที่ดินสามยทรัพย์โฉนดเลขที่813 ให้นายศุภชัย ตามรภาค นายวีรวัฒน์ ตามรภาค และนางพวงผกาตามรภาค บุตรโจทก์โดยจดทะเบียนโอนกันเมื่อวันที่ 26 กันยายน2520 และต่อมาบุตรโจทก์ทั้งสามได้ฟ้องจำเลยเกี่ยวกับทางภาระจำยอมรายเดียวกันนี้ก็ตาม สิทธิของโจทก์ที่จะขอให้บังคับคดีนี้ต่อไป อันเป็นบุคคลสิทธิก็ยังคงมีอยู่ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ และคำพิพากษาตามยอมคดีนี้ โจทก์จำเลยซึ่งเป็นคู่ความในคดีนี้ย่อมต้องผูกพันนับแต่วันที่ได้มีคำพิพากษาจนถึงวันที่คำพิพากษาได้ถูกเปลี่ยนแปลง แก้ไข กลับหรือให้งดเสียถ้าหากมีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา145 วรรคแรก และถึงแม้โจทก์ได้ถอนคำร้องฉบับลงวันที่ 16กุมภาพันธ์ 2521 ไปแล้ว แต่เมื่อคดีได้ความว่า จำเลยยังมิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอมให้ครบถ้วน และถูกต้องดังที่ปรากฏตามคำร้องของโจทก์ ลงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2524 ว่าเมื่อประมาณพ.ศ. 2520 จำเลยได้ปลูกสร้างตึกแถวปิดกั้นทางภาระจำยอมและต่อมาวันที่ 10 เมษายน 2524 โจทก์ได้ยื่นคำร้องอีกว่า เมื่อระหว่างวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2524 ถึงวันที่ 18 มีนาคม 2524 จำเลยโอนกรรมสิทธิที่ดินและตึกแถวที่ปลูกสร้างรุกล้ำทางภาระจำยอมให้ผู้อื่นหลายรายและกำลังจะโอนขายอีกหลายห้อง และต่อมาวันที่12 พฤษภาคม 2524 โจทก์ก็ยังได้ยื่นคำร้องยืนยันอีกว่า จำเลยยังมิได้ปฏิบัติตามคำบังคับของศาล ทั้งจำเลยได้ยื่นคำแถลงคัดค้านและคัดค้านด้วยวาจาโต้แย้งคำร้องของโจทก์คดีจึงมีประเด็นชั้นบังคับคดีว่า จำเลยได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอม โดยครบถ้วนถูกต้องแล้วหรือไม่ ซึ่งศาลมีอำนาจไต่สวนและมีคำสั่งอันเป็นกระบวนพิจารณาชั้นบังคับคดีต่อไปได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 (1) แล้ววินิจฉัยต่อไปว่าทางภาระจำยอมกว้างประมาณ 3 เมตร ยาวประมาณ 60 เมตร และจำเลยปลูกสร้างตึกแถวรุกล้ำทางภาระจำยอมจนจดแนวเสาไฟฟ้าไม้ 3ต้นและถมดินลงในลำกระโดงสาธารณะทางทิศตะวันออก ให้โจทก์ให้แทนทางภาระจำยอมเดิมบางส่วน เป็นการประกอบกรรมอันเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมลดไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1390 และเมื่อจำเลยกระทำการดังกล่าวขึ้นภายหลังที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่ต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอมและสัญญาประนีประนอมยอมความในข้อที่จำเลยยอมให้โจทก์ใช้ทางภาระจำยอมได้ตลอดไป โจทก์ชอบที่จะขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนตึกแถวที่จำเลยปลูกสร้างรุกล้ำทางภาระจำยอม และทำทางภาระจำยอมให้อยู่ในสภาพที่โจทก์จะใช้ได้โดยสะดวกเหมือนเดิมได้
พิพากษายืน.

Share