แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยจ้างโจทก์ซึ่งเป็นทนายความให้ดำเนินคดีให้จำเลย สัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาจ้างทำของ จำเลยผู้ว่าจ้างมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 605 เมื่อเลิกจ้างแล้วจำเลยต้องใช้เงินให้โจทก์ตามควรค่าแห่งการงานที่โจทก์ทำ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคสาม สิทธิเรียกร้องของโจทก์ตามมาตรานี้เกิดขึ้นเมื่อเลิกสัญญากัน และมีอายุความ 2 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(15)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ตกลงว่าจ้างโจทก์เป็นทนายความหลายเรื่อง กำหนดสินจ้างรวม 52,000 บาท ต่อมาจำเลยเลิกจ้างโจทก์ แต่ไม่ชำระค่าจ้าง ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยชำระเงิน 52,000 บาทให้โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยให้โจทก์เป็นทนายโดยมิได้ตกลงสินจ้าง โจทก์แจ้งค่าธรรมเนียมศาลและค่าสินจ้างต่อจำเลย จำเลยได้มอบเงินให้โจทก์แล้ว 34,700บาท สินจ้างนั้นโจทก์บอกว่าเมื่อจำเลยได้ประโยชน์มาแล้วให้จำเลยรางวัลแก่โจทก์ตามสมควรบางครั้งโจทก์ละทิ้งหน้าที่ ไม่ทำงานให้สำเร็จ จำเลยไม่ได้รับเงินใด ๆ ในคดี โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าจ้างจากจำเลย คดีขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 52,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยฎีกาข้อสุดท้ายว่า ฟ้องของโจทก์ว่าจำเลยจ้างโจทก์ให้ดำเนินคดีกับนายคมกริชเมื่อเดือนเมษายน 2515 กับนายบุญเชิดเมื่อเดือนมิถุนายน 2515 สิทธิเรียกร้องของโจทก์มีอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(15) ซึ่งเริ่มนับแต่วันจ้าง โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2517 จึงขาดอายุความแล้ว ศาลฎีกาเห็นว่าตามฎีกาของจำเลยข้อเท็จจริงเป็นเรื่องการเลิกจ้างสัญญาจ้างทำของ ซึ่งจำเลยผู้ว่าจ้างมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 605 เมื่อจำเลยเลิกจ้างแล้วจำเลยต้องใช้เงินให้โจทก์ตามควรค่าแห่งการงานที่โจทก์ทำตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคสามสิทธิเรียกร้องของโจทก์ตามมาตรานี้เกิดขึ้นเมื่อโจทก์จำเลยเลิกสัญญา คือวันที่20 ธันวาคม 2516 โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2517 ไม่ครบ 2 ปีจึงไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(15)
พิพากษายืน