แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องและจำเลยให้การโดยอ้างว่าอีกฝ่ายผิดสัญญาซื้อขายเรือ หาได้ฟ้องหรือให้การต่อสู้ว่าเป็นเรื่องเช่าซื้อเรือกันแต่อย่างใดไม่ และศาลชั้นต้นกับศาลอุทธรณ์ก็วินิจฉัยว่าเป็นเรื่องซื้อขายเรือ ดังนั้น ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์จำเลยมีเจตนาทำสัญญาเช่าซื้อเรือ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ทั้งไม่ใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ซื้อเรือจากจำเลย 1 ลำ จำเลยส่งมอบเรือให้โจทก์แล้วต่อมาโจทก์จำเลยได้ทำสัญญาซื้อขายเรือลำนั้น โดยโจทก์ตกลงจะชำระเงินที่ค้างภายหลัง เมื่อครบกำหนดโจทก์ได้นำเงินมาชำระให้จำเลยแต่จำเลยบิดพลิ้วไม่มารับเงิน แล้วจำเลยเอาเรือไปขายให้บุคคลอื่น ขอให้บังคับจำเลยส่งมอบเรือคืนโจทก์และให้จำเลยรับเงินที่ยังค้างชำระตามสัญญาซื้อขายจากโจทก์ หากมอบเรือให้โจทก์ไม่ได้ก็ให้จำเลยคืนเงินค่าซื้อเรือที่รับไปจากโจทก์พร้อมดอกเบี้ย กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ซื้อเรือจากจำเลยโดยผ่อนชำระค่าเรือเป็นงวด ๆ แล้วโจทก์ผิดนัดไม่ชำระราคา จำเลยจึงยึดเรือคืนเพราะโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ได้ไปชำระหนี้ค่าเรือให้แก่จำเลย ณ ภูมิลำเนาของจำเลย โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์จำเลยมีเจตนาซื้อขายเรือยนต์กันเด็ดขาดเมื่อเรือยนต์มีระวางถึง 13.11 ตันกรอส หรือ 8.91 ตันเนต การซื้อขายเรือซึ่งมีน้ำหนักเกินกว่า 5 ตัน โดยมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงตกเป็นโมฆะ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาซื้อขาย แต่โจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยคืนเงินที่จำเลยได้รับไปจากโจทก์ได้พร้อมดอกเบี้ยพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้เงินที่รับไปจากโจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่าพฤติการณ์แห่งคดีถือได้ว่า โจทก์จำเลยมีเจตนาทำสัญญาเช่าซื้อเรือ เมื่อโจทก์ผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อ จำเลยจึงมีสิทธิยึดเรือคืนและริบเงินค่าเช่าซื้อที่โจทก์ผ่อนชำระแล้วได้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องและจำเลยให้การโดยอ้างว่าอีกฝ่ายผิดสัญญาซื้อขายเรือ หาได้ฟ้องหรือให้การต่อสู้ว่าเป็นเรื่องเช่าซื้อเรือกันแต่อย่างใดไม่ และเมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาก็วินิจฉัยว่าเป็นเรื่องซื้อขายเรือ ดังนั้น ฎีกาของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ทั้งไม่ใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน และศาลจะหยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมดังที่จำเลยฎีกาก็ไม่ได้ เพราะขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายกฎีกาจำเลย