คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2762/2541

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยมีและใช้เครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาตในวันและเวลาเดียวกัน ถือว่าจำเลยมีเจตนาอันเดียวกันการกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทต้องใช้กฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 แต่เนื่องจากความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวมีอัตราโทษเท่ากัน จึงต้องลงโทษจำเลยฐานใช้เครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต แม้จะปรากฎว่าคดีสามารถฎีกาได้แต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายแต่เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าโทษที่ศาลล่างลงแก่จำเลยหนักเกินไปศาลฎีกาย่อมมีอำนาจที่จะพิพากษาลงโทษจำเลยให้เหมาะสมแก่ความผิดได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ. 2484 มาตรา 48, 73, 74, 74 ทวิ, 74 จัตวา พระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498 มาตรา 4, 5, 6, 22, 23 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 33, 83, 91, 138 ริบไม้ของกลางทั้งหมดพร้อมแกลลอน7 ใบ และเชือกไนล่อนกับริบเครื่องวิทยุคมนาคมเพื่อใช้ในราชการกรมไปรษณีย์โทรเลข และจ่ายสินบนนำจับตามกฎหมาย
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 48, 73 วรรคหนึ่ง, 74, 74 ทวิ, 74 จัตวาพระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498 มาตรา 4, 5, 6, 22, 23ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 91, 138 วรรคสองเรียงกระทงลงโทษ ฐานมีไม้แปรรูปไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 1 ปี ฐานมีเครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 1 ปี ฐานใช้เครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 1 ปี ฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานจำคุก 1 ปี รวมจำคุก 4 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีประกอบรายงานการสืบเสาะของพนักงานคุมประพฤติแล้ว ไม่สมควรรอการลงโทษให้จำเลย ริบของกลางทั้งหมดพร้อมแกลลอน 7 ใบ และเชือกไนล่อนสำหรับเครื่องวิทยุคมนาคมริบไว้เพื่อใช้ในราชการกรมไปรษณีย์และจ่ายสินบนนำจับตามกฎหมาย
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่จ่ายสินบนนำจับนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเฉพาะในปัญหาข้อกฎหมายที่ศาลชั้นต้นสั่งรับมาว่าการกระทำของจำเลยในความผิดฐานมีเครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาตและฐานใช้เครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นการกระทำผิดเพียงกรรมเดียวแต่ผิดต่อกฎหมายหลายบทหรือไม่ ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังข้อเท็จจริงมาว่าจำเลยมีและใช้เครื่องวิทยุคมนาคมในวันเวลาเดียวกัน เห็นว่าการที่จำเลยมีเครื่องวิทยุคมนาคม และใช้เครื่องวิทยุคมนาคมดังกล่าวในวันเวลาเดียวกันย่อมถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาอันเดียวกันการกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทซึ่งให้ใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 แต่ความผิดฐานมีเครื่องวิทยุคมนาคมไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และฐานใช้เครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาตมีอัตราโทษเท่ากัน จึงให้ลงโทษฐานใช้เครื่องวิทยุโทรคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498 มาตรา 6 วรรคหนึ่ง, 23 ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น อนึ่งแม้จะเป็นคดีที่จำเลยฎีกาได้เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายก็ตามแต่ศาลฎีกาเห็นว่าศาลล่างลงโทษจำเลยหนักเกินไปก็ย่อมมีอำนาจที่จะพิพากษาลงโทษจำเลยให้เหมาะสมแก่ความผิดได้ศาลฎีกาพิเคราะห์รายงานการสืบเสาะและพินิจจำเลยของพนักงานคุมประพฤติแล้ว เห็นว่า ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยมานั้นหนักเกินไปเห็นสมควรกำหนดโทษจำเลยเสียใหม่ให้เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดี”
พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยฐานมีและใช้เครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นความผิดกรรมเดียว ให้ลงโทษจำเลยฐานใช้เครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498 มาตรา 6 วรรคหนึ่ง, 23จำคุก 4 เดือน ลงโทษฐานมีไม้หวงห้ามแปรรูปไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุก 6 เดือน และลงโทษฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 1 ปี 4 เดือนจำเลยให้การรับสารภาพมีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 8 เดือนนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

Share