แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ผู้ที่มีสิทธิร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาดทรัพย์ได้จะต้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 280 แต่ตามคำร้องของผู้ร้องกล่าวเพียงว่า ผู้ร้องกำลังมีข้อพิพาทกับจำเลยคดีนี้เป็นอีกคดีหนึ่งของศาลชั้นต้นซึ่งศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 15พฤศจิกายน 2534 ผู้ร้องเป็นเพียงคู่ความที่ฟ้องร้องกันอยู่กับจำเลยอีกคดีหนึ่งต่างหาก ผู้ร้องจึงมิใช่บุคคลผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์ในคดีนี้ ในขณะที่ผู้ร้องยื่นคำร้อง แม้ต่อมาศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ได้ขายทอดตลาดให้ผู้ร้องก็เป็นคำพิพากษาภายหลังผู้ร้องยื่นคำร้อง โดยเป็นเรื่องระหว่างผู้ร้องกับจำเลยซึ่งไม่เกี่ยวกับคดีนี้ ทั้งข้ออ้างที่ผู้ร้องอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาและคำขอบังคับในคดีที่ผู้ร้องฟ้องจำเลยก็เป็นการเรียกร้องสิทธิตามสัญญาจะซื้อขาย มิใช่เป็นการเรียกร้องสิทธิอันได้จดทะเบียนไว้โดยชอบตามมาตรา 280(2) ผู้ร้องจึงมิใช่บุคคล ซึ่งชอบที่จะใช้สิทธิอันได้จดทะเบียนไว้โดยชอบแต่อย่างใด
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน26,480,126.63 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 17 ต่อปีของต้นเงิน 22,000,000 บาท แก่โจทก์ จำเลยไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาโจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดิน พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยเพื่อขายทอดตลาดเจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาทรัพย์ที่ยึดเป็นเงิน 39,140,000 บาท ประกาศขายทอดตลาดลงวันที่ 5สิงหาคม 2534 กำหนดขายทอดตลาดในวันที่ 23 กันยายน 2534 มีผู้เข้าสู้ราคา 11 ราย บริษัทพญาไททาวเวอร์ (1989) จำกัด ผู้ซื้อทรัพย์สู้ราคาสูงสุด 136,000,000 บาท โจทก์ไม่ค้านราคาส่วนจำเลยคัดค้านราคา ผู้บังคับบัญชามีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีนับสามเคาะไม้ขายให้แก่ผู้เสนอราคาสูงสุดไปแล้ว
ผู้ร้องยื่นคำร้อง ขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาด
ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องข้อแรกมีว่าผู้ร้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียอันมีสิทธิที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนการขายทอดตลาดทรัพย์ในคดีนี้หรือไม่ ผู้ร้องฎีกาว่า คดีที่ผู้ร้องฟ้องจำเลยเกี่ยวกับที่ดินที่ขายทอดตลาดในคดีนี้ ตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 17746/2533 ของศาลชั้นต้นนั้นขณะนี้ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาให้จำเลยโอนที่ดินที่ขายทอดตลาดในคดีนี้ให้แก่ผู้ร้องแล้ว ผู้ร้องจึงอยู่ในฐานะที่จะบังคับให้จดทะเบียนสิทธิของตนเหนือที่ดินที่ขายทอดตลาดได้ตามกฎหมาย ซึ่งพอแปลได้ว่า ผู้ร้องอ้างสิทธิว่าเป็นบุคคลซึ่งชอบที่จะใช้สิทธิอันได้จดทะเบียนไว้โดยชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 280 (2)ย่อมเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีเกี่ยวกับที่ดินที่ขายทอดตลาดในคดีนี้โดยตรง เห็นว่า ผู้ที่มีสิทธิร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาดทรัพย์ในคดีนี้ได้จะต้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 280 แต่ตามคำร้องของผู้ร้องกล่าวอ้างสิทธิของผู้ร้องในการขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดทรัพย์ในคดีนี้เพียงว่า ผู้ร้องกำลังมีข้อพิพาทกับจำเลยคดีนี้ตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 17746/2533ของศาลชั้นต้น ซึ่งศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 15 พฤศจิกายน2534 ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า ขณะผู้ร้องยื่นคำร้องดังกล่าว ผู้ร้องเป็นเพียงคู่ความที่ฟ้องร้องกันอยู่กับจำเลยอีกคดีหนึ่งต่างหากทั้งคำร้องก็ไม่ปรากฏว่า ผู้ร้องกับจำเลยพิพาทกันด้วยเรื่องอะไรดังนั้น ขณะผู้ร้องยื่นคำร้อง ผู้ร้องจึงมิใช่บุคคลผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์ในคดีนี้ ตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายดังกล่าวแม้ต่อมาศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ได้ขายทอดตลาดในคดีนี้ให้ผู้ร้องตามที่ปรากฏในสำเนาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ท้ายฎีกาก็เป็นคำพิพากษาที่ภายหลังผู้ร้องยื่นคำร้อง โดยเป็นเรื่องระหว่างผู้ร้องกับจำเลยซึ่งไม่เกี่ยวกับคดีนี้ ทั้งข้ออ้างที่ผู้ร้องอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาและคำขอบังคับในคดีที่ผู้ร้องฟ้องจำเลยก็เป็นการเรียกร้องสิทธิตามสัญญาจะซื้อขาย มิใช่เป็นการเรียกร้องสิทธิอันได้จดทะเบียนไว้โดยชอบตามมาตรา 280 (2) ผู้ร้องจึงหาใช่บุคคลซึ่งชอบที่จะใช้สิทธิอันได้จดทะเบียนไว้โดยชอบดังผู้ร้องฎีกาไม่ ส่วนที่ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีอื่นดังกล่าว ผู้ร้องก็ไม่ได้ร้องขอเข้าเฉลี่ยทรัพย์สินในคดีนี้ตาม มาตรา 290 ผู้ร้องจึงไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีไม่มีสิทธิร้องขอให้ศาลเพิกถอนการขายทอดตลาดทรัพย์คดีนี้ ฎีกาข้ออื่นของผู้ร้องจึงไม่จำต้องวินิจฉัยที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งและศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาต้องกันมานั้นต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน