แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยที่ 1ไม่ใช่ของโจทก์ การที่จำเลยเข้าไปทำนาในที่พิพาทจึงไม่เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ และโจทก์ไม่มีสิทธิที่จะเข้าไปปลูกพืชผลในที่ดินนั้น การที่โจทก์เข้าไปปลูกจึงเป็นการกระทำโดยไม่สุจริต จำเลยมีสิทธิขัดขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินของตน และเป็นการใช้สิทธิในที่ดินของจำเลยตามสมควรแก่การทำนาของจำเลยการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยสมคบกันบุกรุกเข้าไปในที่นาของโจทก์หลายคราวและได้ทำลายพืชผลที่โจทก์ปลูกไว้ทำการไถคราด ปักดำข้าวและยึดถือเอาที่นาของโจทก์เป็นเนื้อที่ 4 ไร่ และยังแจ้งความเท็จต่อพนักงานสอบสวนว่าโจทก์บุกรุกที่ดินของจำเลยด้วย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358,365, 172, 173, 83, 84 และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งประทับฟ้อง
จำเลยให้การว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 จำเลยไม่ได้ทำลายพืชผลของโจทก์ ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกมาเกินความจริง โจทก์ฟ้องแก้เกี้ยวเนื่องจากถูกจำเลยที่ 1 ฟ้องแสดงกรรมสิทธิ์ในที่พิพาท ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม ที่พิพาทเป็นของจำเลยที่ 1จำเลยจึงมิได้บุกรุกที่ดินโจทก์ดังฟ้อง เมื่อฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1หากจำเลยจะได้ร่วมกันทำลายพืชผลโจทก์จริงก็มิได้ก่อความเสียหายให้แก่โจทก์ที่จะฟ้องร้องให้ลงโทษและเรียกค่าเสียหายจากจำเลย การที่จำเลยแจ้งความไม่เป็นเท็จ พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตามมาตรา 358 ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง แล้ววินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ครอบครองและเป็นเจ้าของที่พิพาท การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานบุกรุก แจ้งความเท็จหรือละเมิดต่อโจทก์ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติได้ว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 และจำเลยทั้งสี่ได้ทำลายพืชผลที่โจทก์ปลูกไว้ในที่ดินพิพาทจริง ตามฎีกาของโจทก์มีประเด็นมาสู่ศาลฎีกาตามที่ศาลฎีกามีคำสั่งให้รับเป็นฎีกาเฉพาะในคดีส่วนแพ่งกับปัญหาว่าการที่จำเลยทำลายพืชผลของโจทก์ที่โจทก์ปลูกไว้ในที่ดินของจำเลยเป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์หรือไม่ ในคดีส่วนแพ่งโจทก์คงฎีกาแต่เฉพาะในเรื่องค่าเสียหายเกี่ยวกับการที่ไม่ได้เข้าทำนาในที่ดินพิพาท โดยอ้างว่าจำเลยเข้าไปแย่งทำเป็นเหตุให้โจทก์ขาดผลประโยชน์รายได้ เป็นการละเมิดต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่าเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 ไม่ใช่ของโจทก์ การที่จำเลยเข้าไปทำนาในที่ดินพิพาทจึงไม่เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ ส่วนในเรื่องที่จำเลยทำลายพืชผลของโจทก์ที่โจทก์ปลูกไว้ในที่ดินพิพาท ก็เห็นว่าเมื่อที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิที่จะเข้าไปปลูกพืชผลในที่ดินนั้น การที่โจทก์เข้าไปปลูกจึงเป็นการกระทำโดยไม่สุจริต จำเลยย่อมมีสิทธิขัดขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินของตน และเป็นการใช้สิทธิในที่ดินของจำเลยตามสมควรแก่การทำนาของจำเลย การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์
พิพากษายืน