คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2760/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ส. เป็นผู้เช่าตึกแถวพิพาทโดยมิได้มีข้อตกลงที่เป็นการต่างตอบแทนชนิดพิเศษยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา จึงเป็นสัญญาเฉพาะตัวของ ส.เมื่อส. ตาย สัญญาเช่าย่อมระงับไปไม่ตกทอดไปยังทายาท สิทธิในการเช่าตึกแถวพิพาทจึงมิใช่มรดกของ ส. การประกอบกิจการร้านขายยานั้นเป็นเพียงการงานอาชีพ อันเป็นกิจการเฉพาะตัวของผู้ที่ประกอบกิจการโดยแท้และย่อมไม่เป็นมรดกตกทอดแก่ทายาท เมื่อผู้เริ่มประกอบกิจการตาย แล้วมีผู้ประกอบกิจการต่อมาจนถึงจำเลยและสามี ก็เป็นกิจการเฉพาะตัวของผู้ประกอบการ มิใช่การจัดการมรดก โจทก์จึงไม่มีสิทธิในกิจการร้านขายยาที่จำเลยประกอบอยู่ ไม่อาจที่จะเรียกเอาส่วนแบ่งหรือรายได้จากกิจการร้านขายยาดังกล่าว ชื่อร้านขายยาพิพาทมิได้มีการจดทะเบียนเป็นเครื่องหมายการค้ากรณีเป็นเรื่องสิทธิของบุคคลในการที่จะใช้นามอันชอบที่จะใช้ได้ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 18 โจทก์จึงไม่อาจฟ้องขอห้ามมิให้จำเลยซึ่งเป็นทายาทคนหนึ่งของเจ้ามรดกซึ่งก็มีสิทธิใช้นามนั้นมิให้ใช้นามดังกล่าวหรือเรียกค่าเสียหายในการที่จำเลยใช้นามนั้นได้ ในเมื่อจำเลยมิได้ใช้ไปในทางที่เสื่อมเสียต่อนามนั้นและมิได้ห้ามหรือขัดขวางมิให้โจทก์ใช้นามนั้นแต่ประการใด.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมนายสมบุญ พีรวัฑฒึก ประกอบอาชีพแพทย์แผนโบราณมีร้านค้าชื่อวิริยมัยโอสถ อยู่ที่บ้านเลขที่ 25-37 ถนนตะนาวมีบุตรซึ่งเกิดจากนายเล็ก พีรวัฑฒึก 4 คน รวมทั้งนายสมเดชพีรวัฑฒึก ผู้จัดการมรดกโจทก์ เมื่อปี 2491 นายสมบุญถึงแก่ความตายนางเล็กได้ปกครองทรัพย์มรดกของนายสมบุญ ทั้งส่วนของทายาทและส่วนของตน และได้ดำเนินกิจการร้านขายยาวิริยมัยโอสถ ซึ่งปรุงยาตามตำราของนายสมบุญตลอดมา ตนกระทั่งนายเล็กถึงแก่ความตายในปี 2498ก่อนตายนางเล็กได้ทำพินัยกรรมให้นางจงกล รัตนภูมิ บุตรของนางเล็กซึ่งเกิดจากสามีเดิมเป็นผู้จัดการมรดกร้านวิริยมัยโอสถ โดยให้ดำเนินกิจการร้านขายยาให้เป็นกองกลางเพื่อนำรายได้มาแบ่งปันแก่ทายาทซึ่งต่อมานางจงกลได้เป็นผู้จัดการมรดกของนางเล็กตามคำสั่งศาล และได้เจ้าจัดการมรดกโดยดำเนินกิจการร้านขายยาดังกล่าวแบ่งปันรายได้ให้แก่ทายาทพร้อมทั้งปกครองทรัพย์มรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง จนกระทั่งนางจงกลได้ ถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2524 จำเลยซึ่งเป็นบุตรของนางจงกลได้เข้าดำเนินกิจการร้านวิริยมัยโอสถ และครอบครองทรัพย์มรดกของนางเล็กที่อยู่ในความดูแลของนางจงกลตลอดมา หลังจากนางจงกลถึงแก่ความตายแล้ว นายสมเดช ได้เป็นผู้จัดการมรดกของนางเล็กตามคำสั่งของศาลชั้นต้น จึงมีหนังสือแจ้งให้จำเลยส่งมอบทรัพย์มรดกที่จำเลยครอบครองไว้และโอนสิทธิการเช่าห้องเลขที่ 35-37 ถนนตะนาวให้แก่โจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉย พฤติการณ์ดังกล่าวของจำเลยเป็นการเบียดบังทรัพย์มรดกเอาไว้เป็นส่วนของตน และทำให้กองมรดกเสียหายจำเลยจึงต้องถูกกำจัดมิให้รับมรดกของนางเล็ก ขอให้จำเลยส่งมอบทรัพย์มรดกแก่โจทก์ หากส่งให้ไม่ได้ให้ใช้ราคา กับให้ส่งมอบเงินรายได้จากการดำเนินการร้านวิริยมัยโอสถ คิดถึงวันฟ้องจำนวน4,600,000 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ย และให้ใช้เงินค่าเสียหายอีกเดือนละ150,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะส่งมอบร้านวิริยมัยโอสถแก่โจทก์ ให้จำเลยถอนตนจากการเป็นผู้เช่าตึกแถวเลขที่ 35-37 ถนนตะนาวและให้กองมรดกเป็นผู้เช่าแทน ให้จำเลยงดใช้ชื่อร้านวิริยมัยโอสถให้ใช้ค่าเสียหายที่จำเลยใช้ชื่อร้านดังกล่าวเป็นเงิน 500,000 บาทและให้กำจัดจำเลยมิให้รับมรดก
จำเลยให้การว่า ทรัพย์มรดกตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องส่วนมากไม่มีจริง ส่วนสิทธิในการเช่าตึกแถวสองชั้นเลขที่ 35-37 ถนนตะนาวนั้นเป็นสิทธิเฉพาะตัวไม่เป็นมรดก สัญญาเช่าตึกแถวสิ้นสุดเมื่อผู้เช่าเดิมตาย จำเลยได้เป็นผู้เช่าโดยตรงกับวัดบวรนิเวศวิหารหลังจากที่ นาง จงกลถึงแก่ความตายแล้ว จำเลยไม่ได้ดำเนินการผลิตและจำหน่ายยาของร้านวิริยมัยโอสถ แต่ได้ดำเนินกิจการและผลิตยาจำหน่ายด้วยทุนของจำเลยร่วมกับสามี โดยจดทะเบียนเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด ใช้ชื่อว่า ห้างหุ้นส่วนจำกัดวิริยมัยโอสถ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกให้จำเลยใช้ค่าเสียหายในการที่จำเลยใช้ชื่อร้านวิริยมัยโอสถ เพราะชื่อการค้าหรือชื่อร้านค้าไม่ใช่เครื่องหมายการค้า เป็นสิทธิของจำเลยที่จะใช้ชื่อดังกล่าวนี้ได้นอกจากนี้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยส่งมอบเงินที่จำเลยดำเนินกิจการร้านวิริยมัยโอสถตลอดจนค่าเสียหาย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า โจทก์ฎีกาว่าสิทธิการเช่าตึกแถวพิพาทตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องอันดับที่ 18 นั้น เป็นกองมรดกของนางเล็ก ข้อเท็จจริงในเรื่องการเช่าตึกแถวพิพาทเมื่อนายสมบุญยังมีชีวิตอยู่เป็นผู้เช่าตึกแถวพิพาทโดยมีข้อตกลงในการเช่ากันธรรมดา มิได้มีข้อตกลงที่เป็นการต่างตอบแทนชนิดพิเศษยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา จึงเป็นสัญญาเฉพาะตัวของนายสมบุญเมื่อนายสมบุญตายสัญญาเช่าย่อมระงับไปไม่ตกทอดไปยังทายาท สิทธิในการเช่าตึกแถวพิพาทจึงมิใช่มรดกของนายสมบุญ ซึ่งนางเล็กรับมาและไม่เป็นกองมรดกของนางเล็กที่โจทก์จะเรียกให้จำเลยส่งมอบให้ได้
โจทก์ฎีกาว่า กิจการร้านขายยาวิริยมัยโอสถ นางจงกลและจำเลยจัดการในฐานะเป็นกองมรดกนั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่า เดิมกิจการร้านขายยาวิริยมัยโอสถ นายสมบุญเป็นคนประกอบการ เมื่อนายสมบุญตายนางเล็กเป็นผู้ประกอบการ เมื่อนางเล็กตาย นางจงกลเข้าประกอบการและเมื่อนางจงกลตาย จำเลยเป็นสามีก็เป็นผู้ประกอบกิจการต่อมาเห็นว่า การประกอบกิจการร้านขายยานั้นเป็นเพียงการงานอาชีพอันเป็นกิจการเฉพาะตัวของผู้ที่ประกอบกิจการโดยแท้และย่อมไม่เป็นมรดกตกทอดแก่ทายาท เมื่อนางเล็กถึงแก่ความตาย การที่ นางจงกลประกอบกิจการร้ายขายยาต่อมาก็ดี และเมื่อนางจงกลตาย จำเลยและสามีประกอบกิจการนั้นต่อมาก็ดี ก็เป็นกิจการเฉพาะตัวของผู้ประกอบการมิใช่การจัดการมรดกของนางเล็ก โจทก์จึงไม่มีสิทธิในกิจการร้านขายยาที่จำเลยประกอบอยู่ ไม่อาจที่จะรียกเอาส่วนแบ่งหรือรายได้จากกิจการร้านขายยาที่จำเลยทำมาหาได้เอง ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
โจทก์ฎีกาในปัญหาสุดท้ายว่า จำเลยนำชื่อวิริยมัยโอสถไปใช้โดยไม่มีสิทธิ จึงต้องใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ ข้อเท็จจริงได้ความว่าชื่อวิริยมัยโอสถนั้น เดิมนายสมบุญใช้เป็นชื่อร้านขายยา นายสมบุญตายนางเล็กใช้เป็นชื่อร้านขายยาต่อมา เมื่อนางเล็กตาย นางจงกลก็ใช้เป็นชื่อร้านขายยาต่อมาโดยมิได้จดทะเบียนชื่อดังกล่าวเป็นเครื่องหมายการค้า กรณีเป็นเรื่องสิทธิของบุคคลในการที่จะใช้นามอันชอบที่จะใช้ได้ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 18 โจทก์จึงไม่อาจฟ้องขอห้ามมิให้จำเลยซึ่งเป็นทายาทคนหนึ่งของเจ้ามรดกซึ่งก็มีสิทธิใช้นามนั้นมิให้ใช้นามดังกล่าวหรือเรียกค่าเสียหายในการที่จำเลยใช้นามนั้นได้ ในเมื่อจำเลยมิได้ใช้ไปในทางที่เสื่อมเสียต่อมานามนั้นและมิได้ห้ามหรือขัดขวางมิให้โจทก์ใช้นามนั้นแต่ประการใด
พิพากษายืน.

Share