คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 276/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลทหารพิพากษาถึงที่สุดในคดีที่อัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ในข้อหากระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย โดยโจทก์เป็นผู้เสียหายว่า เท่าทีโจทก์นำสืบยังมีข้อสงสัยฟังไม่ได้สนิทใจว่าเหตุที่เกิดเป็นเพราะความประมาทปราศจากความระมัดระวังของจำเลย จะต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้เป็นผลดีแก่จำเลย พิพากษายกฟ้อง ดังนี้ แม้โจทก์จะมิได้เข้ามาเป็นคู่ความด้วย โจทก์และจำเลยที่ 1 ก็ต้องผูกพันตามคำพิพากษาในคดีอาญานั้น ตามพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498 มาตรา 54 และประมลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1134, 1135/2509) และคำพิพากษาคดีอาญาได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงอันเป็นประเด็นแห่งคดีแล้วว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบให้ศาลเห็นโดยชัดแจ้งว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดตามที่โจทก์ฟ้อง ถือได้ว่าศาลได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงในประเด็นที่ว่าจำเลยที่ 1 กระทำการโดยประมาทหรือไม่ไว้แน่นอนแล้ว จะฟังข้อเท็จจริงในคดีแพ่งให้ขัดกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาหาได้ไม่ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1674/2512)
เมื่อคดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดต่อผู้ตาย จำเลยที่ 2 และจำเลยร่วมซึ่งโจทก์อ้างว่าเป็นนายจ้างจึงไม่ต้องรับผิดไปด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ ๑ เป็นมารดาของนายสมบูรณ์ จันทร์สฤษดิ์ โจทก์ที่ ๒ เป็นภรรยาของนายสมบูรณ์ และเป็นมารดาผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กหญิงพนิดา เด็กชายสมิทธ์ เด็กหญิงอรไท และเด็กชายขจร จันทร์สฤษดิ์ บุตรผู้เยาว์อันเกิดจากนายสมบูรณ์ผู้ตาย จำเลยที่ ๑ เป็นพนักงานของสำนักงานวิจัยเกษตรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฐานะเป็นตัวแทนหรือลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ เมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๑๖ จำเลยที่ ๑ ขณะที่ปฏิบัติงานของสำนักงานวิจัยเกษตรฯ ได้ขับรถแทร็กเตอร์ของจำเลยที่ ๒ ไปตามถนนมิตรภาพ โดยลากจูงเครื่องอัดฟางไปด้วย ในการพ่วงเครื่องอัดฟางเข้ากับตัวรถแทร็กเตอร์ จำเลยที่ ๑ ใช้เหล็กสลักและพินล๊อคสลักที่มีขนาดเล็กเกินไปและร่วมกับพนักงานอื่นใส่สลักเพียงแห่งเดียว ซึ่งที่ถูกจะต้องใส่เหล็กสลัก ๒ แห่งเพื่อความปลอดภัย จำเลยที่ ๑ รู้อยู่แล้วว่าเหล็กสลักและพินล๊อคอาจจะหักหรือหลุดออกเมื่อเกิดแรงกระเทือนในขณะรถแล่น เป็นอันตรายแก่บุคคลและยวดยานที่ผ่านไปมา ขณะจำเลยที่ ๑ ขับรถแทร็กเตอร์อยู่บนถนนมิตรภาพ เหล็กสลักและพิมล็อคขาดหลุดออกจากกัน เป็นเหตุให้เครื่องอัดฟางหลุดออกจากตัวรถแทร็กเตอร์และด้วยความแรงเครื่องอัดฟางแล่นพุ่งไปในทางเดินรถที่กำลังสวนมา เกิดชนกับรถยนต์นั่งซึ่งนายสมบูรณ์ขับรถสวนทางมา ทำให้รถยนต์พลิกคว่ำและนายสมบูรณ์ถึงแก่ความตาย โจทก์ได้รบความเสียหายต้องจ่ายค่าทำศพ ๖๐,๐๐๐ บาท ต้องขาดไร้อุปการะเป็นเงิน ๒,๓๕๒,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๒,๔๑๒,๐๐๐ บาท ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันและแทนกันชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าวแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ ๑ ไม่ใช่ลูกจ้างจำเลยที่ ๒ แต่เป็นลูกจ้างสำนักงานวิจัยเกษตรฯ สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวง จำเลยที่ ๑ สอดสลักและปิ๊นหรือพิ๊นกันสลักหลุดอย่างถูกต้องมั่นคงแข็งแรงและปลอดภัย ด้วยความระมัดระวังตามวิสัยและพฤติการณ์ที่เคยปฏิบัติตามปกติ จำเลยที่ ๑ ขับรถแทร็กเตอร์พ่วงเครื่องอัดฟางไปตามถนนมิตรภาพด้วยความเร็ว ๑๕ กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขณะข้ามสะพานลำน้ำชีที่คอสะพานและกลางสะพานมีรอยต่อ รถแทร็กเตอร์และเครื่องอัดฟางได้รับการกระแทกกระเทือนอย่างแรง ทำให้ปิ๊นหรือพิ๊นหัก สลักที่ใช้พ่วงเครื่องลัดฟางหลุดกระเด็นออกไป เป็นเหตุสุดวิสัย เครื่องอัดฟางหลุดจากรถแทร็กเตอร์และครูดไปตามถนนอย่างช้าๆ เอียงล้ำเข้าไปในทางที่รถสวนมา จำเลยที่ ๑ จอดรถแทร็กเตอร์แอบข้างทางเพื่อจัดการแก้ไข แต่ไม่ทัน ในขณะนั้นนายสมบูรณ์ผู้ตายขับรถยนต์เก๋งมาด้วยความเร็วสูง จึงไม่สามารถหักหลบเครื่องอัดฟางได้ ที่ผู้ตายขับรถพุ่งเข้าชนเครื่องอัดฟางถึงแก่ความตายเป็นความประมาทเลินเล่อของผู้ตายเอง ศาลมณฑลทหารบกที่ ๓ (ศาลจังหวัดขอนแก่) ได้พิพากษาคดีอาญาถึงที่สุดแล้ว โดยวินิจฉัยว่าจำเลยที่ ๑ มิได้ประมาทเลินเล่อ ตามคดีหมายเลขดำที่ ๒๓๓/๒๕๑๖ หมายเลขแดงที่ ๘๙๔/๒๕๑๖ จำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิด ฯลฯ
ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขอให้หมายเรียกสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยร่วมยื่นคำให้การมีใจความอย่างเดียวกับจำเลยที่ ๑ ที่ ๒
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหาย ๗๖๖,๘๐๐ บาทให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และจำเลยร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ เป็นให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า จำเลยที่ ๑ ถูกอัยการศาลมณฑลทหารบกที่ ๓ (อัยการจังหวัดขอนแก่น) ฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลมณฑลทหารบกที่ ๓ (ศาลจังหวัดขอนแก่น) ฐานกระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายถึงแก่ความตาย ศาลมณฑลทหารบกที่ ๓ (ศาลจังหวัดขอนแก่น) วินิจฉัยว่าจำเลยปฏิบัติหน้าที่ในการพ่วงรถ ตามที่เคยปฏิบัติมาโดยใส่พื้นเรียบร้อยแล้ว แต่ที่คอสะดานและกลางสะพานมีรอยต่อเป็นเหตุให้รถเทเล่อร์ซึ่งบรรทุกเครื่องอัดฟางหลุดจากรถแทร็กเตอร์ แล้วแล่นเดียงเฉเข้าไปในทางที่รถสวนมา ผู้ตายขับรถมาด้วยความเร็วสูง สุดวิสัยของจำเลยที่จะแก้ไขเหตุการณ์ได้ทันเท่าที่โจทก์นำสืบยังมีข้อสงสัยไม่ได้สนิทใจว่า เหตุที่เกิดคดีนี้เป็นเพราะความประมาทปราศจากความระมัดระวังของจำเลยที่มิได้สอดสิ้นกันมิให้สลักหลุด จำต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้เป็นผลดีแก่จำเลย พิพากษายกฟ้องโจทก์ คดีถึงที่สุดตามคดีหมายเลขดำที่ ๒๓๓/๒๕๑๖ คดีหมายเลขแดงที่ ๘๙๔/๒๕๑๖
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว ปัญหาที่ว่าจำเลยที่ ๑ กระทำละเมิดต่อผู้ตายหรือไม่เป็นประเด็นโดยตรงในคดีอาญาของศาลมณฑลทหาบกที่ ๓ (ศาลจังหวัดขอนแก่น) ซึ่งโจทก์ทั้งสองเป็นผู้เสียหายตามนัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒(๔), ๕(๒) โดยอัยการได้ฟ้องจำเลยที่ ๑ แทนโจทก์ทั้งสอง ศาลฎีกาเห็นว่าแม้โจทก์ทั้งสองจะมิได้เข้ามาเป็นคู่ความ โจทก์ทั้งสองและจำเลยที่ ๑ ก็ต้องผูกพันตามคำพิพากษาในคดีอาญานั้น ตามพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. ๒๔๙๘ มาตรา ๕๔ และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๔๖ เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๑๓๔, ๑๑๓๕/๒๕๐๙ ระหว่างนายทองนอก นิตยสุทธิ์ และคุณหญิงเล็ก อินทราธิบดีสหราชรองเมือง โจทก์ นายโอกาศ สาครวาสี จำเลยที่โจทก์เถียงมาในฎีกาว่าโจทก์ไม่ใช่คู่ความในคดีอาญา คำพิพากษาในคดีอาญาไม่ผูกพันกับโจทก์ ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก โดยยกคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๙๒๗/๒๕๑๔ ขึ้นมานั้น คำพิพากษาฎีกาที่โจทก์อ้างเป็นเรื่องจำเลยซึ่งถูกฟ้องในคดีแพ่งมิได้ถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีอาญาด้วย ข้อเท็จจริงจึงไม่ตรงกับคดีนี้ ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่าคำพิพากษาคดีอาญามิได้วินิจฉัยให้แน่ชัดลงไปว่า การพ่วงรถของจำเลยที่ ๑ ประมาทหรือไม่ เพียงแต่ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยชอบที่จะฟังข้อเท็จจริงในคดีแพ่งนั้น ข้อนี้คำพิพากษาคดีอาญาได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงอันเป็นประเด็นแห่งคดีแล้วว่า โจทก์ไม่มีพยานมาสืบให้ศาลเห็นโดยชัดแจ้งว่าจำเลยที่ ๑ กระทำตามที่โจทก์ฟ้อง ถือได้ว่าศาลได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงในประเด็นที่ว่า จำเลยที่ ๑ กระทำการโดยประมาทหรือไม่ไว้แน่นอนแล้ว จะฟังข้อเท็จจริงในคดีนี้ให้ชัดกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาหาได้ไม่ เทียบตามคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๖๗๔/๒๕๑๒ (ประชุมใหญ่) ระหว่างนายหมาด ทำศรี โจทก์ นางหร่อน๊ะ มัสการ จำเลย เมื่อคดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๑ กระทำละเมิดต่อผู้ตาย ไม่มีความรับผิดต่อโจทก์ทั้งสอง จำเลยที่ ๒ และจำเลยร่วมซึ่งโจกท์อ้างว่าเป็นนายจ้างจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสองด้วย
พิพากษายืน

Share