แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้ให้เช่าสิ่งปลูกสร้างร้องขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ส่งมอบทรัพย์สินที่เช่าซึ่งผู้เช่าถูกฟ้องล้มละลายคืนแก่ตนพร้อมทั้งดอกผลของสิ่งปลูกสร้างตามคำสั่งศาลนั้นคำร้องของผู้ร้องไม่มีลักษณะเป็นการคัดค้านการยึดทรัพย์ และไม่มีสภาพเป็นกรณีที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะดำเนินการสอบสวนและมีคำสั่งดังนั้น แม้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะมีคำสั่งประการใด กรณีย่อมไม่เข้าพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 158 และมาตรา 146ฉะนั้น เมื่อคดีพิพาทเกี่ยวกับสิ่งปลูกสร้างถึงที่สุดแล้ว ผู้ร้องก็ยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สั่งยกคำคัดค้านของผู้ร้อง ผู้ร้องย่อมมีสิทธิยื่นคำขอต่อศาลได้ ในกรณีที่ผู้ร้องเรียกค่าเช่าอันเป็นดอกผลจากทรัพย์สินที่ให้เช่าในระยะเวลาที่ทรัพย์สินนั้นตกเป็นของผู้ร้องแล้วเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ต้องส่งมอบเงินค่าเช่านั้นให้แก่ผู้ร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 111 และ 1336
ย่อยาว
ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งว่า เนื่องด้วยเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2495 จำเลยได้เช่าที่ดินโฉนดหมายเลขที่ 6931, 6934 ตำบลคลองเตย อำเภอพระโขนง จากสามีผู้ร้อง กำหนด 15 ปีเพื่อสร้างโกดังเก็บสินค้าในอัตราค่าเช่าเดือนละ2,000 บาท โดยมีเงื่อนไขว่าเมื่อสัญญาเช่าเลิกหรือเมื่อผู้เช่าถูกฟ้องในคดีล้มละลาย บรรดาสิ่งปลูกสร้างทั้งสิ้นตกเป็นของผู้ให้เช่า ต่อมาสามีผู้ร้องได้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งสองแปลงให้แก่ผู้ร้อง ผู้ร้องจึงเป็นคู่สัญญากับจำเลย ต่อมาจำเลยถูกฟ้องในคดีล้มละลาย และเมื่อจำเลยถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้เข้าจัดการทรัพย์สินของจำเลย และนำสถานที่เช่ากับสิ่งปลูกสร้างหาประโยชน์จากการให้เช่าเรื่อยมาแม้ผู้ร้องจะได้ใช้สิทธิเลิกสัญญาตั้งแต่ 27 กันยายน 2503 ก็ตาม เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เพิ่งส่งมอบสถานที่เช่ากับสิ่งปลูกสร้างคืนให้เมื่อศาลฎีกามีคำสั่งไม่อนุญาตให้ทุเลาการบังคับคดี แต่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่ส่งมอบค่าเช่าที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์หาประโยชน์จากการให้เช่านับตั้งแต่วันที่ 27 กันยายน 2503 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นระยะเวลาภายหลังวันที่ผู้ร้องใช้สิทธิเลิกสัญญาเช่าแล้วระหว่างวันที่ 27 กันยายน 2503 จนถึงวันที่ 17 กันยายน 2504 ซึ่งเป็นวันส่งมอบคืนสถานที่เช่ากับสิ่งปลูกสร้างให้ผู้ร้องนั้น เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ครอบครองและหาผลประโยชน์ในทรัพย์สินและสิ่งปลูกสร้างของผู้ร้องได้รับค่าเช่าทั้งสิ้น 365,119 บาท ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ขอให้ส่งเงินค่าเช่าที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้รับให้แก่ผู้ร้อง เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งลงวันที่ 14 พฤศจิกายน 2504 ให้ยกคำร้องอ้างว่าเคยมีคำสั่งไว้ครั้งหนึ่งแล้วเมื่อ 22 กุมภาพันธ์ 2503 ว่าไม่ใช่ดอกผลของผู้ร้องผู้ร้องไม่มีสิทธิขอรับได้ และว่าปัญหานี้ถึงที่สุดแล้วตามมาตรา 146พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ตั้งแต่การสั่งในคราวก่อนแล้วจะมารื้อฟื้นสั่งใหม่อีกไม่ได้
ผู้ร้องยื่นคำร้องคัดค้านคำวินิจฉัยของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ต่อศาลว่า ศาลแพ่งมีคำสั่งเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2504 ว่า ผู้ร้องมีสิทธิเลิกสัญญาเช่าได้ ผู้ร้องจึงขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ส่งมอบสถานที่เช่าและดอกผลลงวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2504 เป็นการขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ปฏิบัติตามคำสั่งศาล เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ปฏิเสธ ผู้ร้องจึงไม่จำต้องยื่นคำร้องต่อศาลภายใน 14 วันตามมาตรา 146 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 เพราะผู้ร้องดำเนินคดีกับเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์อยู่ในศาลแล้ว เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยังขัดขืนไม่ส่งมอบทรัพย์สินให้ผู้ร้อง ผู้ร้องได้รับความเสียหาย ขาดประโยชน์อันควรได้ ขอให้ศาลสั่งกลับคำวินิจฉัยของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ส่งมอบเงินค่าเช่าดังกล่าวแก่ผู้ร้อง
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำแถลงคัดค้านว่า การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สั่งยกคำร้องเนื่องจากเงินค่าเช่าที่ผู้เช่าส่งไว้นั้นเป็นสิทธิของจำเลยกับผู้เช่าในระยะเวลาก่อนส่งมอบสถานที่เช่าให้แก่ผู้ร้อง เพราะดอกผลนิตินัยควรเป็นของผู้ร้องก็เฉพาะแต่ค่าเช่าอัตราเดือนละ 2,000 บาท ที่ผู้ร้องมีสิทธิได้รับตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ในคดีแพ่งแดงที่ 2897/2502 ซึ่งผู้ร้องเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยขอเลิกสัญญาเช่าคดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างฎีกา ศาลฎีกามีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับคดี เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงนำค่าเช่าและค่าเสียหายเดือนละ 2,000 บาทวางศาลให้ผู้ร้องตลอดมาทุกเดือน ฉะนั้น เงินค่าเช่าที่ผู้เช่าได้ชำระไว้แล้วจึงมิใช่ดอกผลของผู้ร้อง และการที่ผู้ร้องได้เคยยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ลงวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2504 ให้สั่งจ่ายเงินจำนวนนี้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็ได้สั่งยกคำร้องในวันเดียวกัน ผู้ร้องทราบคำสั่งในวันรุ่งขึ้นแล้ว แต่ไม่ได้คัดค้านคำสั่งต่อศาลภายใน 14 วันตามมาตรา 146 พระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 จึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องใหม่ฉบับลงวันที่ 23 พฤศจิกายน 2504 ต่อศาล
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เมื่อสัญญาเช่าระหว่างผู้ร้องและจำเลยเลิกกันแล้ว สิ่งปลูกสร้างย่อมตกเป็นของผู้ร้องตามสัญญา การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นำโกดังของผู้ร้องไปให้เช่า เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มิใช่เจ้าของทรัพย์ที่ให้เช่า จึงไม่มีสิทธิจะอ้างได้ว่าค่าเช่าเป็นของตนและตามมาตรา 391 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์คู่สัญญาย่อมกลับคืนสู่ฐานะเดิม เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะต้องคืนโกดังและผลประโยชน์ทั้งหลายที่เป็นดอกผลอันเกิดจากทรัพย์สินนี้ให้แก่ผู้ร้องนับแต่วันบอกเลิกสัญญาเมื่อสัญญาเช่าเลิกกันแล้วทรัพย์พิพาทมีผลประโยชน์สูงกว่าค่าเช่าเดือนละ 2,000 บาท เงิน ค่าเช่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของจำนวนเงินที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะต้องคืนให้ผู้ร้อง ส่วนปัญหาที่ว่าการที่ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องคัดค้านคำวินิจฉัยของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่สั่งคำร้องเดิมต่อศาลภายในกำหนด 14 วันนั้น ตามคำร้องฉบับเดิมเป็นการร้องขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ปฏิบัติตามคำสั่งศาลแพ่งมิใช่เป็นเรื่องที่ผู้ร้องขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สั่งในเรื่องที่เกี่ยวกับอำนาจหรือหน้าที่อื่นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงจะยกเอามาตรา 146 พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ขึ้นอ้างกรณีนี้ไม่ได้จึงมีคำสั่งกลับคำวินิจฉัยของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่ปฏิเสธการจ่ายเงินค่าเช่าตามคำร้องลงวันที่ 23 พฤศจิกายน 2504 ของผู้ร้องให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จ่ายคืนค่าเช่าโกดังพิพาทที่ได้รับไว้ตามคำร้องในระยะระหว่างวันที่ 27 กันยายน 2503 ถึงวันที่ 17 กันยายน 2504 ให้ผู้ร้อง
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ผู้ร้องไม่มีสิทธิในเงินค่าเช่าโกดังของผู้เช่าจากจำเลยคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่ปฏิเสธไม่จ่ายเงินค่าเช่าจำนวนนี้ให้ผู้ร้องเป็นการชอบแล้วคดีไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์อุทธรณ์ว่าผู้ร้องไม่ยื่นคำร้องคัดค้านคำวินิจฉัยของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่สั่งคำร้องของผู้ร้องฉบับลงวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2504 มาตรา 146 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ต่อศาลภายในกำหนด 14 วันการร้องขอรับดอกผลรายนี้ยุติแล้ว ผู้ร้องจะมาขอรับดอกผลรายเดียวกันนี้ใหม่อีกไม่ได้ พิพากษากลับคำสั่งศาลชั้นต้นให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำร้องของผู้ร้องลงวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2504 นั้นไม่ใช่เป็นการคัดค้านคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามมาตรา 146 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายเพราะผู้ร้องได้ยื่นคำคัดค้านการยึดทรัพย์ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จนถึงกับยื่นคำร้องต่อศาลคัดค้านคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไปแล้วคำร้องของผู้ร้องลงวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2504 เป็นกรณีที่ผู้ร้องขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ส่งมอบสิ่งก่อสร้าง ตามคำสั่งศาลตลอดจนดอกผลของสิ่งปลูกสร้าง หรือจะรอไว้จนกว่าคดีจะถึงที่สุดก็ได้ และเตือนว่าอย่าเอาดอกผลของสิ่งปลูกสร้างไปใช้สอยหรือแบ่งปันแก่เจ้าหนี้ คำร้องของผู้ร้องไม่มีลักษณะเป็นการคัดค้านการยึดทรัพย์และไม่มีลักษณะเป็นกรณีที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะดำเนินการสอบสวนและมีคำสั่ง ฉะนั้น แม้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะมีคำสั่งประการใด ก็ไม่เข้ามาตรา 158 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายฯ และไม่เข้าบทบัญญัติมาตรา 146แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายฯ ด้วยฉะนั้น เมื่อคดีพิพาทเกี่ยวกับสิ่งปลูกสร้างถึงที่สุดแล้ว ผู้ร้องก็ยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สั่งยกคำคัดค้านของผู้ร้อง ผู้ร้องก็มีสิทธิยื่นคำขอต่อศาลได้ กรณีนี้ ปรากฏชัดแล้วว่า จำนวนเงินที่ผู้ร้องขอคืนจากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นั้น เป็นเงินดอกผลของสิ่งปลูกสร้างในระยะเวลาที่สิ่งปลูกสร้างตกเป็นของผู้ร้องแล้ว เงินดอกผลนั้นจึงตกเป็นของผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าของสิ่งปลูกสร้างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 111 และ 1336 ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ส่งมอบเงินค่าเช่าทั้งหมดที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้รับแก่ผู้ร้อง