แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ออกหมายจับจำเลยเพื่อให้มาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เกินเดือนแล้วไม่ได้ตัวจำเลยมา ศาลจึงอ่านคำพิพากษานั้นให้โจทก์ฟัง ถือว่าได้อ่านคำพิพากษาโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว เมื่อไม่ปรากฎว่าได้มีการขอขยายเวลาก่อนสิ้นอายุฎีกาหรือมีเหตุสุดวิสัยและจำเลยยื่นฎีกาเกิน 1 เดือน นับแต่วันศาลอ่านดังกล่าว ฎีกาของจำเลยย่อมขาดอายุฎีกา แม้ว่าศาลจะได้อ่านคำพิพากษานั้นให้จำเลยฟังอีกเมื่อได้ตัวจำเลยมาแล้วหลังจากวันอ่านดังกล่าวข้างต้น 5 เดือนเศษ ก็เป็นแต่เพียงให้จำเลยได้ทราบคำพิพากษาตามที่จำเลยต้องการเท่านั้น หามีผลทำให้ยึดอายุฎีกาไม่
ประชุมใหญ่ ครั้ง 29/2503
ย่อยาว
ศาลแขวงพระนครใต้พิพากษาลงโทษจำเลยฐานยักยอก จำคุก ๒ เดือน จำเลยอุทธรณ์และมีประกันระหว่างอุทธรณ์ ถึงวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ นายประกันส่งตัวจำเลยไม่ได้ อ้างว่าจำเลยไปค้าขายที่จังหวัดหนองคาย ขอผัดส่งตัว ๑ เดือน ศาลอนุญาตแต่แล้วนายประกันก็ส่งตัวจำเลยไม่ได้อีก ศาลจึงสั่งปรับนายประกันและออกหมายจับจำเลยเพื่อให้มาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์นับแต่วันออกหมายจับเกิน ๑ เดือนแล้ว ไม่ได้ตัวจำเลยมา ศาลชั้นต้นจึงได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ฟังเมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๐๒ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ต่อมาอีก ๕ เดือนเศษ คือ วันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๐๓ จำเลยและนายประกันต่างยื่นคำร้องต่อศาลอ้างว่าจำเลยไม่ทราบวันนัดเพราะไปค้าขายที่เวียงจันทร์ บัดนี้ จำเลยกลับมาแล้ว ขอฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และนายประกันขอส่งตัวจำเลยศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยฟังในวันเดียวกันนั้น
ต่อมาวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๐๓ จำเลยยื่นฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาเฉพาะในปัญหาข้อกฎหมาย
คดีนี้มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยในเบื้องแรกว่าฎีกาของจำเลยขาดอายุแล้วหรือไม่ ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่า ตามพฤติการณ์ดังกล่าว การอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ของศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๐๒ เป็นการอ่านคำพิพากษาโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๘๒ วรรค ๓ แล้ว ที่จำเลยมายื่นคำร้องขอฟังคำพิพากษาในภายหลังและศาลชั้นต้นได้อ่านให้จำเลยฟังอีกเมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๐๓ เป็นเพียงให้จำเลยได้ทราบตามที่จำเลยต้องการเท่านั้น จะแปลว่าการที่จำเลยมายื่นคำร้องเมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๐๓ และศาลได้อ่านคำพิพากษาให้ฟังอีกเป็นการขยายอายุฎีกาให้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาควาแพ่ง มาตรา ๒๓ ประกอบกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕ ก็ไม่ได้ เพราะการขยายระยะเวลาต้องขอขยายเสียก่อนสิ้นระยะเวลานั้น เว้นแต่จะมีเหตุสุดวิสัย ข้อความในคำร้องของจำเลยลงวันที่ ๓๐ พ.ค. ๒๕๐๓ หาเป็นเหตุสุดวิสัยแต่อย่างใดไม่ ตามรูปคดีจึงต้องถือว่าจำเลยได้ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ ๒๕ ธ.ค.๒๕๐๒ เมื่อจำเลยมายื่นฎีกาในวันที่ ๖ มิ.ย.๒๕๐๓ จำเลยจึงยื่นฎีกาเมื่อพ้นกำหนดแล้ว ศาลฎีกาจะรับวินิจฉัยไม่ได้ จึงให้ยกฎีกาจำเลยเสีย