คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2759/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรานั้น แม้จำเลยจะไม่ได้พูดหรือมีอาวุธขู่เข็ญผู้เสียหาย ถ้าตามพฤติการณ์ผู้เสียหายกลัวจำเลยตกอยู่ในอำนาจบังคับของจำเลย ตกอยู่ในภาวะจำยอมไม่กล้าขัดขืนจะถือว่าผู้เสียหายยินยอมไม่ได้ จำเลยจึงต้องมีความผิด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 276พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 5)พ.ศ. 2525 มาตรา 3 จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสอง, 83พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2525มาตรา 3 จำคุกคนละ 15 ปี จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพสะดวกแก่การพิจารณา เป็นเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คนละกึ่ง คงจำคุกคนละ 7 ปี 6 เดือน จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสามได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ คดีได้ความจากผู้เสียหายว่าตามวันเวลาเกิดเหตุผู้เสียหายกับนายกัณหา สำเภา และนายวิมลศรีทันมา เดินกลับมาจากดูภาพยนตร์กลางแปลงที่โรงเรียนประชามิตรวิทยา ตำบลพระกลางทุ่ง อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนมจะกลับบ้านนางสุพรรณี พูลพาณิชย์ ซึ่งผู้เสียหายอาศัยอยู่มาตามถนนสายเรณูนคร เมื่อข้ามสะพานมาเล็กน้อย จำเลยทั้งสามได้ขี่รถจักรยานยนต์และซ้อนท้ายตามมาจอดขวางหน้า จำเลยที่ 2เข้ามาบีบคอ จำเลยที่ 1 ที่ 3 เข้ามาจับแขนผู้เสียหายคนละข้างพร้อมกับพูดขู่ไม่ให้นายกัณหากับนายวิมลช่วยเหลือ จำเลยทั้งสามลากตัวไปที่สะพาน แล้วจำเลยที่ 1 ที่ 2 พาผู้เสียหายลงไปใต้สะพานและถูกจับนอน จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 ต่างผลัดกันจับแขนขาผู้เสียหายไว้ให้จำเลยอีกคนข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายคนละครั้งตามลำดับแล้วต่างพาผู้เสียหายไปที่กระท่อมกลางนาห่างสะพานประมาณ 30 กว่าเมตรโดยจำเลยที่ 3 ซึ่งยืนคอยบนสะพานลงมาข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย1 ครั้ง โดยจำเลยที่ 1 ที่ 2 ช่วยกันจับแขนขาผู้เสียหายบนพื้นกระท่อม แล้วจำเลยที่ 3 พาผู้เสียหายไปส่งที่ถนนพร้อมกับพูดขู่ไม่ให้ผู้เสียหายแจ้งผู้ใดมิฉะนั้นจะฆ่า รุ่งเช้านางหนูเชือมขันธะรักษ์ มารดาผู้เสียหายทราบเหตุได้พาผู้เสียหายแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเรณูนคร โจทก์มีนายกัณหาและนายวิมลเบิกความสนับสนุนว่า เมื่อเดินมาส่งผู้เสียหายบริเวณสะพานก็มีกลุ่มชาย 3 คน ขี่รถจักรยานตามมาจอดขวางหน้าผู้เสียหาย แล้วขู่ให้นายกัณหานายวิมลกลับบ้านไปจริง พิเคราะห์คำเบิกความของผู้เสียหาย นายกัณหาและนายวิมลในชั้นพิจารณาเปรียบเทียบกับคำให้การของพยานดังกล่าวในชั้นสอบสวนเอกสารหมาย จ.6, จ.7, จ.8ตามลำดับต่างกันบ้างเกี่ยวกับตัวจำเลยที่เข้ามาบีบคอผู้เสียหาย และจำนวนครั้งที่จำเลยแต่ละคนกระทำชำเราผู้เสียหาย นอกจากนั้นคำให้การชั้นสอบสวนเอกสารหมาย จ.7, จ.8 แตกต่างขัดกันบ้าง กล่าวคือนายกัณหาให้การว่า เมื่อถึงสะพานข้ามลำห้วย นายกัณหาหยุดพักรอที่สะพานปล่อยให้นายวิมลเดินไปส่งผู้เสียหาย แต่นายวิมลให้การกลับกัน แต่คำเบิกความชั้นพิจารณาและคำให้การชั้นสอบสวนของพยานโจทก์ดังกล่าวก็ต้องกันในสาระสำคัญยืนยันว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันดักฉุดผู้เสียหายและพาไปข่มขืนกระทำชำเรา แม้บันทึกคำให้การจำเลยทั้งสามในชั้นสอบสวนเอกสารหมาย จ.10, จ.11, จ.12 ตามลำดับจะมีข้อความแสดงว่า จำเลยทั้งสามไม่ได้ทำร้ายหรือพูดขู่เข็ญผู้เสียหาย แต่จำเลยทั้งสามก็รับว่าได้ร่วมกันฉุดจับแขนขาผู้เสียหายแล้วพาไปผลัดกันกระทำชำเราผู้เสียหายที่ใต้สะพาน ทั้งความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรานั้น แม้จำเลยจะไม่ได้พูดหรือมีอาวุธขู่เข็ญผู้เสียหายก็ตาม ถ้าตามพฤติการณ์ผู้เสียหายกลัวจำเลยตกอยู่ในอำนาจบังคับของจำเลยตกอยู่ในภาวะจำยอม ไม่กล้าขัดขืน จำเลยจะอ้างว่าผู้เสียหายยินยอมไม่ได้ นอกจากนี้ยังได้ความจากพันตำรวจตรีนิกร คำพรหม พนักงานสอบสวนอีกว่า ในชั้นสอบสวนจำเลยทั้งสามยังได้นำชี้สถานที่เกิดเหตุ และแสดงท่าทางประกอบการกระทำผิดได้ถูกต้อง ปรากฏตามบันทึกการชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพเอกสารหมาย จ.13, จ.14, จ.15 ตามลำดับ เห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์ซึ่งนำสืบประกอบคำรับสารภาพของจำเลยทั้งสามมีน้ำหนักเพียงพอที่จะฟังลงโทษได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสาม ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน

Share