แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ทำสัญญาจำนองที่ดินเป็นประกันหนี้ของโจทก์ที่มีต่อจำเลยเมื่อโจทก์ได้ใช้เงินแก่จำเลยครบถ้วนตามสัญญาจำนองแล้วหนี้ตามสัญญาจำนองที่โจทก์มีต่อจำเลยจึงเป็นอันระงับสิ้นไปสัญญาจำนองที่โจทก์ทำไว้แก่จำเลยย่อมระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา744(1)จำเลยจึงมีหน้าที่ไปขอจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินดังกล่าว โจทก์มีหนังสือถึงจำเลยขอมอบที่ดินให้จำเลยทำการแทนในการซื้อขายและโอนกรรมสิทธิ์เพื่อเป็นการชำระหนี้บางส่วนของพ. จึงเป็นกรณีที่โจทก์สมัครใจเข้ามาใช้หนี้ของพ.ลูกหนี้โจทก์แทนพ. โดยยอมให้จำเลยขายที่ดินของโจทก์นำเงินมาชำระหนี้ย่อมก่อให้เกิดผลผูกพันโจทก์จำเลยจึงมีสิทธิยึดถือโฉนดที่ดินตามฟ้องไว้จนกว่าความรับผิดในหนี้ของพ. จะสิ้นไป
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกค้าจำเลยสาขาตราดได้กู้ยืมเงินจำเลยประเภทสินเชื่อการเกษตร เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2521โจทก์ขอจดทะเบียนจำนองที่ดินโจทก์จำนวน 27 แปลง เพื่อประกันหนี้โดยส่งมอบโฉนดที่ดินทั้งหมด 27 ฉบับ ให้แก่จำเลยยึดถือไว้ โจทก์ได้ชำระหนี้เงินกู้ครบถ้วนและจำเลยได้ปลดจำนองที่ดินให้โจทก์หลายแปลงคงเหลือที่จำเลยไม่ยอมปลดจำนอง 9 แปลง คือที่ดินโฉนดเลขที่ 8171, 8172, 8173, 8174, 8223, 8224, 8225,8226 และ 8232 ตำบลวังกะแจะ อำเภอเมืองตราด จังหวัดตราดขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนไถ่ถอนเป็นการปลดจำนองและคืนโฉนดที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์กู้ยืมเงินจำเลยสาขาตราดโดยนำที่ดินมาจดทะเบียนจำนองเป็นประกัน ในระหว่างที่ภาระหนี้ของโจทก์ยังมีอยู่กับจำเลยโจทก์มีหนังสือลงวันที่ 8 ตุลาคม 2524 ถึงจำเลยแสดงเจตนาว่าโจทก์มอบที่ดิน 11 แปลง ตามฟ้องให้จำเลยจัดการทำการซื้อขายและโอนกรรมสิทธิ์เพื่อชำระหนี้บางส่วนของนายพิทักษ์ พรรณนา และโจทก์มีหนังสือลงวันที่ 29 ตุลาคม 2533ขอที่ดินคืนเพียง 1 แปลง นายพิทักษ์ยังเป็นหนี้จำเลยเป็นต้นเงิน218,447.64 บาท ดอกเบี้ย 15,216.90 บาท จำเลยจึงมีสิทธิยึดหน่วงโฉนดที่ดินทั้งเก้าฉบับไว้ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 8171,8172, 8173, 8174, 8223, 8224, 8225, 8226 และ 8232ตำบลวังกะแจะ อำเภอเมืองตราด จังหวัดตราด คืนให้โจทก์พร้อมจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ หากจำเลยไม่ไปจดทะเบียนไถ่ถอน ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลย
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับ ให้ยก ฟ้องโจทก์
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า เมื่อวันที่8 ธันวาคม 2521 โจทก์ได้ทำหนังสือสัญญาจำนองที่ดินรวม 27 แปลงเพื่อเป็นประกันหนี้ของโจทก์ที่มีต่อจำเลยในวงเงิน 30,000 บาทซึ่งโจทก์ได้ผ่อนชำระหนี้และไถ่ถอนจำนองหลายครั้ง วันที่5 ตุลาคม 2524 โจทก์มีหนังสือถึงผู้จัดการธนาคารจำเลยสาขาตราดขอมอบที่ดินรวม 11 โฉนด ให้ธนาคารทำการแทนในการซื้อขายและโอนกรรมสิทธิ์เพื่อเป็นการชำระหนี้บางส่วนของนายพิทักษ์ พรรณนาตามเอกสารหมาย ล.2 และต่อมาเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2526 โจทก์ได้ชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ยที่ค้างแก่จำเลยจนครบถ้วน แต่จำเลยยังยึดถือโฉนดที่ดินของโจทก์ไว้และยังมิได้จดทะเบียนไถ่ถอนจำนองอีกรวม 9 ฉบับ ตามฟ้อง ต่อมาวันที่ 29 ตุลาคม 2533 โจทก์มีหนังสือถึงผู้จัดการธนาคารจำเลยสาขาตราดอีกขอให้ธนาคารคืนที่ดิน 1 แปลง เนื้อที่ประมาณ 100 ตารางวา แก่โจทก์ส่วนที่เหลืออีก 7 แปลง ยินดีโอนขายที่ดินไปชำระหนี้ของนายพิทักษ์ พรรณนาให้แก่ธนาคารต่อไป มีปัญหาตามฎีกาโจทก์ประการแรกว่า จำเลยต้องไปขอจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินทั้งเก้าแปลงตามฟ้องให้แก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่าเมื่อโจทก์ได้ใช้เงินแก่จำเลยครบถ้วนตามสัญญาจำนองแล้ว หนี้ตามสัญญาจำนองที่โจทก์มีต่อจำเลยจึงเป็นอันระงับสิ้นไป สัญญาจำนองที่โจทก์ทำไว้แก่จำเลยย่อมระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 744(1)จำเลยจึงมีหน้าที่ไปขอจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินดังกล่าวที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง โจทก์ในส่วนนี้ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยมีสิทธิยึดถือโฉนดที่ดินทั้งเก้าแปลงตามฟ้องของโจทก์หรือไม่ เห็นว่า หนังสือของโจทก์ตามเอกสารหมาย ล.2 เป็นกรณีที่โจทก์สมัครใจเข้ามาใช้หนี้ของนายพิทักษ์ พรรณา ลูกหนี้โจทก์แทนนายพิทักษ์โดยยอมให้จำเลยขายที่ดินของโจทก์ทั้งเก้าแปลงนำเงินมาชำระหนี้ และหนังสือของโจทก์ตามเอกสารหมาย ล.3 ก็ยังคงยืนยันเช่นนั้นเมื่อส่งไปถึงผู้จัดการธนาคารจำเลยสาขาตราด ย่อมก่อให้เกิดผลผูกพันโจทก์จำเลยจึงมีสิทธิยึดถือโฉนดที่ดินทั้งเก้าแปลงตามฟ้องไว้จนกว่าความรับผิดในหนี้ของนายพิทักษ์จะสิ้นไป
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยไปขอจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 78171, 8172, 8173, 8174, 8223, 8224, 8225,8226 และ 8232 ตำบลวังกะแจะ อำเภอเมืองตราด จังหวัดตราดหากจำเลยไม่ไปขอจดทะเบียนไถ่ถอน ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลยนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์