คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2755/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้ ป. กรรมการของโจทก์คนเดียวลงลายมือชื่อในคำอุทธรณ์ที่อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ โดยมิได้มีกรรมการอื่นลงชื่อร่วมและประทับตราบริษัทโจทก์ แต่ได้กระทำภายในขอบวัตถุประสงค์ของโจทก์ นับว่า ป. เป็นผู้แทนของโจทก์โดยไม่จำต้องมีสัญญาแต่อย่างใด เมื่อ ป. กระทำไปแล้วโจทก์ยอมรับเอาผลของการกระทำนั้นอันเป็นการให้สัตยาบันแก่การยื่นอุทธรณ์ดังกล่าวอีกทั้งคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ก็ยอมรับคำอุทธรณ์ที่ ป. ทำว่าเป็นอุทธรณ์ของโจทก์เช่นนี้ ถือว่าโจทก์ได้อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์แล้วโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง การที่โจทก์เพียงแต่ใช้แรงงานและเครื่องมือเครื่องใช้ของโจทก์ผลิตสบู่ขึ้นมา ตามสูตรและส่วนผสมที่ผู้ว่าจ้างกำหนด โดยผู้ว่าจ้างเป็นผู้จัดหาสัมภาระทั้งหมดที่ใช้ในการผลิต ย่อมแสดงว่าผู้ว่าจ้างหวังผลสำเร็จแห่งการงานที่จ้างเป็นสำคัญ และเห็นได้ว่าสบู่ที่โจทก์ผลิตขึ้นนั้นตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ว่าจ้างมาแต่แรกเงินที่ผู้ว่าจ้างจ่ายให้โจทก์ จึงมิใช่ค่าตอบแทนการโอนกรรมสิทธิ์ในสบู่ที่โจทก์ผลิตขึ้น แต่เป็นเงินสินจ้างหรือค่าตอบแทนในการที่โจทก์ผลิตสบู่ให้ตามที่ว่าจ้าง ทั้งผู้ว่าจ้างก็ได้เสียภาษีการค้าในฐานะผู้ผลิตให้แก่จำเลยไว้แล้ว กรณีจึงมิใช่การขายของ แต่เป็นการรับจ้างทำของ ดังนี้ จะต้องเสียภาษีการค้าในประเภทการค้า 4การรับจ้างทำของชนิด 1(ฉ) ในฐานะผู้รับจ้าง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้รับแจ้งการประเมินภาษีการค้า ของระยะเวลาบัญชี พ.ศ. 2523-2527 จากจำเลยอ้างว่าโจทก์ได้ชำระภาษีประเภทการค้า 4 การรับจ้างทำของชนิด 1(ฉ) ซึ่งไม่ถูกต้อง จึงให้โจทก์ชำระภาษีประเภทการค้า 1 การขายของชนิด 1(ก) รวมเป็น2,426,570.69 บาท โจทก์ไม่เห็นด้วยกับการประเมินดังกล่าว จึงอุทธรณ์คัดค้านการประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ต่อมาวันที่ 27 มกราคม 2529 โจทก์ได้รับคำวินิจฉัยอุทธรณ์ซึ่งวินิจฉัยให้ยกคำอุทธรณ์โจทก์ 2 ฉบับ ให้ลดภาษีการค้าบางส่วน 1 ฉบับ และให้ปลดภาษีการค้า 2 ฉบับเหลือเงินภาษีที่ให้โจทก์นำไปชำระให้กับจำเลยเพียง 1,437,742.69 บาท พร้อมด้วยเงินเพิ่มตามกฎหมายอีกส่วนหนึ่ง โจทก์ไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยดังกล่าว โจทก์มีฐานะเป็นผู้รับจ้างทำของและได้เสียภาษีการค้าถูกต้องแล้ว ไม่มีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษีแต่อย่างใด จึงขอให้ศาลพิจารณางดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตาม มาตรา 89, 89 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากรแก่โจทก์ด้วยขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาเพิกถอนการประเมินตามแบบแจ้งการประเมินภาษีการค้า ภ.ค.8 ที่ 27 70/3/01699 ถึง 27 70/3/01701 ฉบับลงวันที่ 23 พฤศจิกายน 2527 รวม 3 ฉบับ และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ภ.ส.7 ที่ กค. 08/42/1749 ลงวันที่ 18 ธันวาคม 2528 ให้งดหรือลดเบี้ยปรับ หรือ (ที่ถูกและ) เงินเพิ่ม
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า การประเมินภาษีของจำเลยได้กระทำไปโดยชอบแล้ว เจ้าพนักงานประเมินเห็นว่าโจทก์ยื่นแบบแสดงรายการการค้าไม่ถูกต้อง ทำให้จำนวนภาษีที่ต้องเสียคลาดเคลื่อนไป จำเลยจึงตรวจสอบแบบแสดงรายการการค้าของโจทก์ที่ยื่นไว้ในระยะเวลาบัญชีปี พ.ศ. 2523-2527 พบว่าโจทก์ได้ชำระภาษีในฐานะผู้รับจ้างทำของส่วนหนึ่ง และในฐานะผู้ผลิตส่วนหนึ่งจำเลยเห็นว่าโจทก์ชำระภาษีการค้าประเภทการค้า 4 การรับจ้างทำของชนิด 1 (ฉ) ไม่ถูกต้องเพราะโจทก์เป็นผู้ประกอบแปรรูปแปรสภาพสินค้าหรือทำการอย่างใดอย่างหนึ่งให้มีขึ้นซึ่งสินค้า ในฐานะเป็นผู้ผลิตและนำเข้าเท่านั้น การยื่นอุทธรณ์การประเมินของโจทก์ในคำอุทธรณ์มี นายประสิทธิ์ บุญศิริธรรม คนเดียวลงนาม ไม่มีกรรมการของโจทก์ลงนามด้วย จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้มีการอุทธรณ์คัดค้านการประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ แม้คณะกรรมการการพิจารณาอุทธรณ์ได้มีคำวินิจฉัย ก็หามีผลทำให้อุทธรณ์ของโจทก์ถูกต้องขึ้นมาไม่ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง การผลิตของโจทก์ไม่ว่าจะผลิตเองหรือผลิตตามคำสั่งของผู้ว่าจ้างโจทก์ ก็เป็นการผลิตเพื่อนำออกขายนั่นเอง ต้องด้วยคำนิยามคำว่า “ผลิต” ในประมวลรัษฎากรมาตรา 77 เหตุที่พนักงานของจำเลยตรวจสอบการประเมินภาษีการค้าของโจทก์ในรอบระยะเวลาบัญชีปี พ.ศ. 2520 ถึง 2522 และประเมินเรียกเก็บภาษีการค้าในรอบระยะเวลาบัญชีปี พ.ศ. 2523 ถึง 2527เพราะเห็นว่าโจทก์ยื่นแบบแสดงรายการการค้าไว้ไม่ถูกต้อง โจทก์มิได้ให้ความร่วมมือต่อเจ้าพนักงานของจำเลยในการตรวจสอบภาษีทั้งที่จำเลยได้มีหนังสือเชิญพบ เมื่อมีการประเมินโจทก์มิได้โต้แย้งหรือยื่นคำร้องขอลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแต่อย่างใด โจทก์จึงต้องเสียเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามที่จำเลยได้ประเมิน และโจทก์มิได้อุทธรณ์การประเมินเพื่อขอให้งดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มโจทก์จึงไม่มีสิทธิหยิบยกข้อนี้ขึ้นในชั้นพิจารณาของศาล
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินตามแบบแจ้งการประเมินภาษีการค้า เลขที่ใบแจ้งภาษีอากร27 70/3/01699 ถึง 27 70/3/01701 ลงวันที่ 23 พฤศจิกายน 2527และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ที่เกี่ยวกับภาษีการค้าของรอบระยะเวลาบัญชีปี พ.ศ. 2523 ถึงสิ้นเดือนตุลาคม2525 ของโจทก์เสีย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบอุตสาหกรรมทำสบู่ทำการค้าสบู่ และอื่น ๆ อีก โดยมีนายประสิทธิ์ บุญศิริธรรม เป็นกรรมการคนหนึ่งสามารถดำเนินการแทนบริษัทได้ แต่ต้องมีกรรมการอื่นลงชื่อร่วมด้วยอีกหนึ่งคนในรอบระยะเวลาบัญชีปี พ.ศ. 2523-2525 โจทก์ได้นำรายรับที่ได้รับจากบริษัทรูเปียอุตสาหกรรม จำกัดไปแสดงรายการเสียภาษีการค้า ประเภทการค้า 4การรับจ้างทำของ ชนิด 1(ฉ) เจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินให้โจทก์เสียภาษีการค้าประเภทการค้า 1 การขายของ ชนิด 1(ก)ในฐานะผู้ผลิต โจทก์ได้อุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามเอกสารหมาย จ.8 หรือ ล.2 โดยนายประสิทธิ์ บุญศิริธรรมกรรมการโจทก์เป็นผู้ลงนาม แต่มิได้มีกรรมการอื่นลงชื่อร่วมและประทับตราของบริษัท โจทก์ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลระบุรายชื่อและอำนาจของกรรมการตามเอกสารหมาย จ.2 หรือ ล.1 ว่า นายประสิทธิ์บุญศิริธรรม ลงลายมือชื่อร่วมกับกรรมการอีกคนหนึ่งและประทับตราของบริษัทย่อมผูกพันบริษัทได้
ข้อต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยประการแรกมีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่จำเลยอ้างว่านายประสิทธิ์คนเดียวลงลายมือชื่อในคำอุทธรณ์ที่อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ โดยมิได้ประทับตราบริษัทถือว่าโจทก์มิได้อุทธรณ์ จึงไม่มีอำนาจฟ้อง และที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่านายประสิทธิ์เป็นตัวแทนโจทก์กระทำโดยปราศจากอำนาจและโจทก์ให้สัตยาบัน เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นนั้น เห็นว่าการวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์อ้างข้อกฎหมายต่าง ๆ ที่แสดงให้เห็นว่าโจทก์มีอำนาจฟ้อง จึงเป็นการวินิจฉัยในประเด็นโดยตรง มิใช่นอกประเด็นดังข้ออ้างของจำเลยและการที่นายประสิทธิ์เป็นกรรมการของโจทก์ซึ่งเป็นนิติบุคคล กระทำภายในขอบวัตถุประสงค์ของโจทก์นับว่าเป็นผู้แทนของโจทก์โดยไม่จำต้องมีสัญญาแต่อย่างใดเมื่อนายประสิทธิ์กระทำไปแล้ว โจทก์ได้ยอมรับเอาผลของการกระทำนั้นถือได้ว่าเป็นการให้สัตยาบันแก่การยื่นอุทธรณ์ของโจทก์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์และคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยก็ได้ยอมรับคำอุทธรณ์ที่นายประสิทธิ์ทำไปว่าเป็นอุทธรณ์ของโจทก์กรณีเช่นนี้ถือว่าโจทก์ได้อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์แล้วจึงมีอำนาจฟ้อง…
ฎีกาจำเลยประการต่อไปมีว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบหรือไม่ซึ่งโต้เถียงกันเกี่ยวกับรายรับที่โจทก์ได้รับจากบริษัทรูเปียอุตสาหกรรม จำกัดของรอบระยะเวลาบัญชีปี พ.ศ. 2523 ถึงสิ้นเดือนตุลาคม 2525 ว่าเป็นรายรับจากการรับจ้างทำสบู่ตรานกแก้วอันจะต้องเสียภาษีการค้าตามบัญชีอัตราภาษีการค้าประเภทการค้า 4 การรับจ้างทำของ ชนิด 1(ฉ) ในฐานะผู้รับจ้างทำของหรือเป็นรายรับจากการที่โจทก์ผลิตสบู่ตรานกแก้วแล้วขายให้แก่บริษัทรูเปียอุตสาหกรรม จำกัด อันจะต้องเสียภาษีการค้าประเภทการค้า 1 การขายของชนิด 1(ก) ในฐานะผู้ผลิตปัญหาดังกล่าวศาลฎีกาเห็นว่า กรณีใดเป็นการรับจ้างทำของหรือการขายของนั้นต้องพิจารณาตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ สำหรับคดีนี้โจทก์มีนางพูนสุขมโนมัยกิจ นายประสิทธิ์ บุญศิริธรรม และนายอนุพันธ์ หวังดำรงเวชซึ่งเป็นผู้จัดการฝ่ายบัญชีของบริษัทรูเปียอุตสาหกรรม จำกัดเบิกความตรงกันว่า โจทก์รับจ้างผลิตสบู่ตรานกแก้วขนาด 18 กรัมให้บริษัทรูเปียอุตสาหกรรม จำกัด โดยใช้สูตรและส่วนผสมตามที่ผู้ว่าจ้างกำหนด โจทก์ได้รับค่าจ้างก้อนละ 9 สตางค์ วัตถุดิบวัสดุหีบห่อและวัสดุอื่น ๆ ที่ใช้ในการผลิตทางบริษัทรูเปียอุตสาหกรรม จำกัด เป็นผู้จัดหาให้โจทก์ ซึ่งมีจำนวนมากตามใบส่งของเอกสารหมาย จ.14 มีการทำสัญญาว่าจ้างเป็นหลักฐานตามเอกสารหมาย จ.15 นายอนุพันธ์ยังยืนยันด้วยว่าโจทก์ต้องส่งมอบสบู่ทั้งหมดให้ผู้ว่าจ้าง ไม่มีสิทธินำไปขายเอง เพราะสบู่ที่ผลิตขึ้นทั้งหมดเป็นของบริษัทรูเปียอุตสาหกรรม จำกัด โดยบริษัทรูเปียอุตสาหกรรม จำกัด ได้เสียภาษีส่วนนี้ในฐานะผู้ผลิตและขายสินค้าไว้แล้วฝ่ายจำเลยมิได้สืบให้เห็นเป็นอย่างอื่น เพียงแต่นางอรุณีซ้องสุข ผู้ตรวจสอบภาษีรายนี้เบิกความว่าได้ตรวจเอกสารหลักฐานแล้วเห็นว่าโจทก์มิได้มีวัตถุประสงค์ในการรับจ้างผลิตสบู่และมิได้จดทะเบียนการค้าเกี่ยวกับการรับจ้างทำของ ทั้งในรายละเอียดประกอบงบดุลในปี พ.ศ. 2526 มีการแสดงจำนวนสบู่ตรานกแก้ว 18 กรัมราคาเป็นศูนย์ พยานเชื่อว่าสบู่ตรานกแก้ว 18 กรัมเป็นสินค้าที่โจทก์ผลิตและขายให้ผู้อื่น แต่พยานเบิกความตามที่ได้ตรวจเอกสารเท่านั้น มิได้รู้เห็นว่าความจริงเป็นอย่างไร ทั้งงบดุลที่แสดงรายการที่พยานสงสัยก็มีเฉพาะในปี พ.ศ. 2526 ซึ่งมิได้เป็นปัญหาในคดีนี้ ในหนังสือรับรองการจดทะเบียนโจทก์ก็ได้ระบุวัตถุประสงค์ข้อหนึ่งว่าประกอบอุตสาหกรรมทำสบู่ และในตอนยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีการค้า เอกสารหมาย ล.6-ล.8 ก็ระบุว่ามีรายได้จากการรับจ้างทำสบู่ด้วย ข้ออ้างของพยานจำเลยจึงไม่มีเหตุผลเพียงพอ ส่วนโจทก์มีทั้งพยานบุคคลที่มิได้มีส่วนได้เสียในบริษัทโจทก์ และมีพยานเอกสารที่เกี่ยวข้องมาสนับสนุน จึงมีน้ำหนักอันควรรับฟังน่าเชื่อว่าข้อเท็จจริงเป็นดังที่โจทก์นำสืบ ซึ่ง การทีโจทก์เพียงแต่ใช้แรงงานและเครื่องมือเครื่องใช้ของโจทก์ผลิตสบู่ขึ้นมา ตามสูตรและส่วนผสมที่ผู้ว่าจ้างกำหนด โดยผู้ว่าจ้างเป็นผู้จัดหาสัมภาระทั้งหมดที่ใช้ในการผลิต ย่อมแสดงว่าผู้ว่าจ้างหวังผลสำเร็จแห่งการงานที่จ้างเป็นสำคัญ และเป็นที่เห็นได้ว่าสบู่ที่โจทก์ผลิตขึ้นนั้น ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ว่าจ้างมาแต่แรก เงินทีผู้ว่าจ้างจ่ายให้โจทก์ จึงมิใช่ค่าตอบแทนการโอนกรรมสิทธิ์ในสบู่ที่โจทก์ผลิตขึ้น แต่เป็นเงินสินจ้างหรือค่าตอบแทนในการที่โจทก์ผลิตสบู่ให้ตามที่ว่าจ้าง นอกจากนี้ยังปรากฏด้วยว่าผู้ว่าจ้างได้เสียภาษีการค้าในฐานะผู้ผลิตให้แก่จำเลยไว้แล้ว กรณีเช่นนี้จึงมิใช่การขายของ แต่เป็นการรับจ้างทำของจะต้องเสียภาษีการค้าในประเภทการค้า 4 การรับจ้างทำของชนิด 1(ฉ) ในฐานะผู้รับจ้างส่วนข้อที่จำเลยฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจวินิจฉัยว่า สบู่ที่ผลิตขึ้นเป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทรูเปียอุตสาหกรรม จำกัดเพราะเป็นเรื่องนอกประเด็นนั้น เห็นว่าศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยเพื่อให้เห็นว่าเป็นการขายของหรือรับจ้างทำของ จำเป็นจะต้องกล่าวถึงเรื่องกรรมสิทธิ์ของสบู่ที่ผลิตขึ้น และอ้างกฎหมายสนับสนุนเพื่อให้เห็นว่าเป็นการรับจ้างทำของ ซึ่งเป็นประเด็นพิพาทโดยตรง มิใช่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นดังที่จำเลยฎีกา…
พิพากษายืน.

Share