แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
เมื่อฟังได้ว่าจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทได้เชิด ให้ท. เป็นตัวแทนทำสัญญาประนีประนอมยอมความขายที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ ดังนั้น แม้สัญญาจะมิได้ระบุว่าท. ได้รับมอบหมายจากจำเลยหรือระบุว่าจำเลยเป็นตัวการในการขายที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ก็ตามก็ไม่เป็นเหตุทำให้จำเลยซึ่งเป็นตัวการพ้นความรับผิด ตามสัญญาที่ทำขึ้น และเนื่องจากกรณีนี้เป็นเรื่องตัวแทนเชิดมิใช่การแต่งตั้งตัวแทนตามปกติ การตั้งตัวแทนดังกล่าวจึงไม่จำต้องทำเป็นหนังสือตามนัยที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 821
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความจะขายที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 1688 ให้แก่โจทก์ในราคา15,000 บาท โจทก์ชำระราคาให้จำเลย 12,500 บาทแล้วต่อมาจำเลยผิดสัญญา ขอให้จำเลยรับเงินจำนวน 2,500 บาทและจดทะเบียนโอนที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 1688 แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามขอให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยขายที่ดินให้โจทก์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรับชำระเงิน 2,500 บาทจากโจทก์ แล้วให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินตาม น.ส.3 ก.เลขที่ 1688 ตำบลกบินทร์บุรี อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรีให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า สัญญาประนีประนอมยอมความเอกสารหมาย จ.5 มีผลผูกพันให้จำเลยเจ้าของที่ดินต้องโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ตามฟ้องหรือไม่ จำเลยฎีกาว่าตามสัญญาประนีประนอมยอมความ เอกสารหมาย จ.5 ที่นายทองดีทำกับโจทก์นั้น ไม่มีข้อความหรือรายละเอียดกล่าวถึงว่านายทองดีผู้จะขายที่ดินพิพาทได้รับมอบหมายจากผู้ใดให้มาทำกิจการอันใด และผู้ใดเป็นตัวการบ้าง พยานหลักฐานโจทก์ไม่พอฟังว่าจำเลยได้เชิดให้นายทองดีมาทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์นั้น เห็นว่าคดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวน ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังข้อเท็จจริงตามศาลชั้นต้นว่า จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทตามฟ้องได้เชิดให้นายทองดีเป็นตัวแทนมาทำสัญญาประนีประนอมยอมความเอกสารหมาย จ.5 ขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ ดังนั้น แม้ในสัญญาประนีประนอมยอมความเอกสารหมาย จ.5 จะไม่ได้ระบุว่านายทองดีผู้จะขายที่ดินได้รับมอบหมายจากจำเลยหรือระบุว่าจำเลยเป็นตัวการเกี่ยวกับการขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ก็ตาม ก็ไม่เป็นเหตุให้จำเลยซึ่งเป็นตัวการของนายทองดีพ้นความรับผิดตามสัญญาดังกล่าวได้ เมื่อมิใช่เป็นเรื่องการตั้งตัวแทนไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันตามปกติ แต่เป็นเรื่องตัวแทนเชิด กิจการดังกล่าวนั้น ไม่ต้องทำเป็นหนังสือแต่งตั้งตัวแทน จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ ทั้งนี้ตามนัยที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 821ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน