แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์อ้างส่งวิดีโอเทปบันทึกภาพถ่ายระหว่างการสอบสวนผู้เสียหายที่ 1 และที่ 3 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพันตำรวจตรี ม. ได้สอบคำให้การของผู้เสียหายที่ 1 และที่ 3 โดยชอบต่อหน้าพนักงานอัยการและนักจิตวิทยา ซึ่งศาลมีอำนาจรับฟังสื่อภาพและเสียงคำให้การของพยานปากผู้เสียหายที่ 1 และที่ 3 ได้เสมือนผู้เสียหายที่ 1 และที่ 3 ซึ่งต่างเป็นเด็กมาเบิกความในชั้นพิจารณาของศาลตาม ป.วิ.อ. 172 ตรี วรรคสี่ แต่โจทก์จะต้องมีพยานหลักฐานอย่างอื่นประกอบด้วยจึงจะทำให้พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงว่าจำเลยร่วมเป็นคนร้ายได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2545 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง จำเลยกับพวกอีกหลายคนซึ่งแยกดำเนินคดีต่างหากแล้วร่วมกันพรากเด็กหญิง ก. ผู้เสียหายที่ 1 อายุ 13 ปีเศษ (เกิดวันที่ 8 มีนาคม 2532) ไปเสียจากนางสาว บ. ผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นมารดา เพื่อการอนาจาร และจำเลยกับพวกร่วมกันพรากนางสาว ว. ผู้เสียหายที่ 3 ซึ่งเป็นผู้เยาว์ อายุ 16 ปีเศษ ไปเสียจากนาย ข. ผู้เสียหายที่ 4 ซึ่งเป็นบิดา เพื่อการอนาจาร โดยผู้เสียหายที่ 3 ไม่เต็มใจไปด้วย จำเลยกับพวกดังกล่าวร่วมกันกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งมิใช่ภริยาของตน โดยจำเลยกับพวกร่วมกันจับผู้เสียหายที่ 1 นอนลง ช่วยกันจับแขนผู้เสียหายที่ 1 ทั้งสองข้างกดไว้เหนือศีรษะ ถอดกางเกงผู้เสียหายที่ 1 ออก ทำให้ผู้เสียหายที่ 1 อยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ แล้วจำเลยกับพวกร่วมกันผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 อันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิงจนสำเร็จความใคร่ของจำเลยกับพวกโดยผู้เสียหายที่ 1 ไม่ยินยอม จำเลยกับพวกร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 3 ซึ่งมิใช่ภริยาของจำเลยกับพวก โดยจำเลยกับพวกร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายจับแขนและขาของผู้เสียหายที่ 3 คนละข้าง ถอดกางเกงออกทำให้ผู้เสียหายที่ 3 อยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้แล้วจำเลยกับพวกผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 3 อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 276, 277, 317, 318
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสอง, 277 วรรคสาม, 317 วรรคสาม, 318 วรรคสาม ประกอบมาตรา 83 เรียงกระทงลงโทษตามมาตรา 91 ขณะกระทำความผิดจำเลยอายุ 17 ปีเศษ ลดมาตราส่วนโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 (ที่ถูกประกอบมาตรา 18 วรรคสาม ด้วย) กึ่งหนึ่ง ฐานร่วมกันพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจาร จำคุก 2 ปี 6 เดือน ฐานร่วมกันพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีแต่ไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วย จำคุก 1 ปี 6 เดือน ฐานร่วมกันกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกินสิบห้าปี อันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิงโดยเด็กหญิงไม่ยินยอม จำคุก 25 ปี ฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราหญิงอื่นซึ่งมิใช่ภริยาของตนอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง จำคุก 7 ปี 6 เดือน รวม 4 กระทง จำคุก 36 ปี 6 เดือน อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2534 มาตรา 104 (2) ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งจำเลยไปฝึกและอบรมที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนเขต 2 (จังหวัดราชบุรี) มีกำหนด 4 ปี นับแต่วันพิพากษา หากจำเลยอายุเกิน 24 ปี ให้ส่งตัวไปจำคุกตามระยะเวลาฝึกอบรมตามคำพิพากษา
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งในชั้นฎีการับฟังได้ว่า ในวันเกิดเหตุมีคนร้ายหลายคนร่วมกันพรากเด็กหญิง ก. อายุ 13 ปีเศษ กับนางสาว ว. อายุ 16 ปีเศษ ผู้เสียหายที่ 1 และที่ 3 ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกันไปจากนางสาว บ. ผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นมารดาของผู้เสียหายที่ 1 และนาย ข. ผู้เสียที่ 4 ซึ่งเป็นบิดาของผู้เสียหายที่ 3 ในขณะที่ผู้เสียหายที่ 1 และที่ 3 อยู่ที่ฝั่งตรงข้ามโรงภาพยนตร์เพชรเกษม ซึ่งคนร้ายจำนวน 5 คน อยู่ในบริเวณดังกล่าวด้วย แล้วมีคนร้ายคนหนึ่งขับรถจักรยานยนต์ปาดหน้ารถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายที่ 3 ซึ่งผู้เสียหายที่ 3 เป็นผู้ขับ ผู้เสียหายที่ 1 นั่งซ้อนท้าย บังคับให้จอดรถแล้วแย่งกุญแจรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายที่ 3 ไป และให้ผู้เสียหายที่ 3 ไปนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของคนร้ายคนหนึ่ง ส่วนพวกคนร้ายอีกคนหนึ่งไปขับรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายที่ 3 มีผู้เสียหายที่ 1 นั่งซ้อนท้ายแล้วกลุ่มคนร้ายพาผู้เสียหายที่ 1 และที่ 3 ไปที่บริเวณองค์การบริหารส่วนตำบลบางแขมโดยผู้เสียหายที่ 1 และที่ 3 ไม่เต็มใจไปด้วย ต่อมามีพวกของคนร้ายข้างต้นอีก 5 คน มาสมทบ พวกคนร้ายทั้งสิบพาผู้เสียหายที่ 1 และที่ 3 ไปที่บ้านร้าง บริเวณป่าช้าวัดลาดปลาเค้า พวกคนร้ายดังกล่าวฉุดผู้เสียหายที่ 1 และที่ 3 ไปข่มขืนกระทำชำเราในลักษณะโทรมเด็กหญิงและโทรมหญิง โดยผู้เสียหายที่ 1 และที่ 3 ไม่ยินยอม เมื่อผู้เสียหายที่ 2 ทราบว่าผู้เสียหายที่ 1 ถูกพวกคนร้ายข่มขืนกระทำชำเราก็พาผู้เสียหายที่ 1 ไปร้องทุกข์ พันตำรวจตรีเมธี พนักงานสอบสวนส่งตัวผู้เสียหายที่ 1 และที่ 3 ไปตรวจร่างกาย แพทย์ผู้ตรวจลงความเห็นว่าผู้เสียหายที่ 1 และที่ 3 ผ่านการร่วมประเวณีมาแล้ว ต่อมาผู้เสียหายที่ 3 พาเจ้าพนักงานตำรวจไปจับกุมนาย พ. กับนาย ป. บุคคลทั้งสองให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนว่าได้ร่วมกับพวกกระทำความผิดฐานพรากและผลัดเปลี่ยนกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 และที่ 3 อันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิงและโทรมหญิงตามฟ้อง คดีมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยร่วมกับพวกกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่….
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า คดีนี้ผู้เสียหายที่ 1 และที่ 3 ไม่ได้มาเบิกความเป็นพยาน โจทก์คงอ้างส่งคำให้การของผู้เสียหายที่ 1 และที่ 3 และคำให้การเพิ่มเติมเอกสารหมาย จ.10 และ จ.11 ว่า ผู้เสียหายที่ 1 และที่ 3 ถูกพวกคนร้ายบังคับให้ไปกับพวกคนร้ายกลุ่มแรก 5 คน คนร้ายทั้งห้าพาผู้เสียหายที่ 1 และที่ 3 ไปที่องค์การบริหารส่วนตำบลบางแขม และเมื่อมีพวกคนร้ายดังกล่าวอีก 5 คน มาสมทบคนร้ายทั้งหมดก็พาผู้เสียหายที่ 1 และที่ 3 ไปที่บ้านร้างในป่าช้าวัดลาดปลาเค้าสถานที่เกิดเหตุและถูกพวกคนร้ายทั้งหมดผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันข่มขืนกระทำชำเรา โดยผู้เสียหายที่ 1 และที่ 3 ไม่ยิมยอม แต่ปรากฏในคำให้การของผู้เสียหายที่ 1 และที่ 3 เอกสารหมาย จ.10 และ จ.11 ว่าผู้เสียหายที่ 1 และที่ 3 ไม่ได้ให้การถึงจำเลยนี้ว่าร่วมกระทำความผิดด้วย จนกระทั่งต่อมาอีก 2 เดือนเศษ ผู้เสียหายที่ 1 และที่ 3 จึงมาให้การเพิ่มเติม แต่คงมีเพียงผู้เสียหายที่ 3 ที่ให้การเพิ่มเติมว่าจำเลยร่วมเป็นคนร้ายนี้ด้วย โดยจำเลยเป็นคนร้ายหนึ่งใน 5 คนแรกที่บังคับให้ผู้เสียหายที่ 1 และที่ 3 ออกเดินทางจากบริเวณโรงภาพยนตร์เพชรเกษม โดยผู้เสียหายที่ 1 และที่ 3 ไม่ยิมยอมและจำเลยร่วมข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 3 ในครัวกับในห้องนอนของบ้านเกิดเหตุ ส่วนผู้เสียหายที่ 1 ยังคงไม่ให้การถึงจำเลยว่าเป็นคนร้ายด้วยอย่างไร ทั้งที่พนักงานสอบสวนนำภาพถ่ายของจำเลยกับพวกคนอื่นๆ ให้ผู้เสียหายที่ 1 ดู และผู้เสียหายที่ 3 ก็ให้การเพิ่มเติมว่าจำเลยอยู่ร่วมในเหตุการณ์ตั้งแต่แรก ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นผู้เสียหายที่ 1 ย่อมมีโอกาสเห็นหน้าจำเลยเป็นระยะเวลานานพอสมควร ดังนี้ คำให้การของผู้เสียหายที่ 1 และที่ 3 จึงไม่สอดคล้องกันทำให้มีข้อสงสัยอยู่ตามสมควร และแม้โจทก์ได้อ้างส่งวิดีโอเทปบันทึกภาพถ่ายระหว่างการสอบสวนผู้เสียหายที่ 1 และที่ 3 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพันตำรวจตรีเมธีได้สอบคำให้การของผู้เสียหายที่ 1 และที่ 3 โดยชอบต่อหน้าพนักงานอัยการและนักจิตวิทยา ซึ่งศาลมีอำนาจรับฟังสื่อภาพและเสียงคำให้การของพยานปากผู้เสียหายที่ 1 และที่ 3 ได้เสมือนผู้เสียหายที่ 1 และที่ 3 มาเบิกความในชั้นพิจารณาของศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 172 ตรี วรรคสี่ แต่อย่างไรก็ตามโจทก์จะต้องมีพยานหลักฐานอย่างอื่นประกอบด้วยจึงจะทำให้พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงว่าจำเลยร่วมเป็นคนร้ายได้ แต่โจทก์ก็นำสืบโดยอ้างเพียงผู้เสียหายที่ 2 มารดาผู้เสียหายที่ 1 และพันตำรวจตรีเมธีพนักงานสอบสวนเป็นพยานซึ่งผู้เสียหายที่ 2 ก็เบิกความประกอบคำให้การขอนตนเองตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.9 เพียงว่า พยานอนุญาตให้ผู้เสียหายที่ 1 ออกไปหาของกินนอกบ้านกับผู้เสียหายที่ 3 ผู้เสียหายที่ 2 จึงไม่รู้เห็นเหตุการณ์ร้ายที่เกิดแก่ผู้เสียหายที่ 1 และที่ 3 เลย ส่วนพันตำรวจตรีเมธีก็เป็นเพียงผู้สอบปากคำผู้เสียหายที่ 1 และที่ 3 ไม่รู้เห็นเหตุการณ์เกี่ยวกับการกระทำความผิดของจำเลยโดยตรง จึงเป็นเพียงพยานบอกเล่าเช่นกัน สำหรับคำให้การของนาย ป. กับนาย พ. ที่ถูกฟ้องอีกคดีหนึ่งให้การไว้ตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาเอกสารหมาย จ.13 และ จ.14 ว่าจำเลยเป็นคนร้ายรายนี้ด้วย แต่คำให้การดังกล่าวเป็นเพียงคำซัดทอดขายของคนร้าย และเมื่อโจทก์ไม่ได้อ้างบุคคลทั้งสองเป็นพยานในคดีนี้ คำให้การของบุคคลทั้งสองในอีกคดีหนึ่งจึงเป็นเพียงพยานบอกเล่า มีน้ำหนักในการรับฟังน้อย ไม่อาจรับฟังประกอบคำให้การของผู้เสียหายที่ 1 และที่ 3 ให้มีน้ำหนักมั่นคงได้ ดังนั้นพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาดังกล่าวจึงยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังว่าจำเลยร่วมเป็นคนร้ายรายนี้ด้วย ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวที่ยกฟ้องโจทก์”
พิพากษายืน