แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สมคบ อย่างไรฟังว่าเป็นการสมคบกัน เดิรมาด้วยกันแล้วเข้าขวางหน้าแย่งชิงทรัพย์ได้ไปเป็นการสมคบกัน พ.ร.บ.ฎีกาอุทธรณ์ แก้มาก ศาลเดิมลงโทษ ด. ตามมาตรา 335 ข้อ 2 ปรับ 10 บาท แลลงโทษ ว. 2 กะทง ตามมาตรา 338 ข้อ 3 ปรับ 20 บาท แลมาตรา 293 ข้อ 7 จำคุก 6 เดือน ศาลอุทธรณ์แก้ให้จำคุกจำเลยทั้ง 2 ตามมาตรา 299 จำคุกคนละ 3 ปี เป็นแก้ไขมาก
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีมีด+ุยเป็นศานตราวุธสมคบกันเป็นคนร้ายใช้มือต่อย จ. เพื่อแย่งชิงทรัพย์ขณะที่ จ. ขี่รถมาตามถนนหลวง ขอให้ลงโทษ
ศาลเดิมฟังว่าจำเลยไม่ได้สมคบกันแต่เชื่อว่า ด.จำเลยได้พกมีดแลต่อยพวกเจ้าทรัพย์แต่ไม่ถูกจึงมีผิดตาม ม. ๓๓๕ ข้อ ๒ ให้ปรับ ๑๐ ส่วน ว. จำเลยให้ลงโทษ ๒ กะทงคือฐานทำร้ายร่างกายตามมาตรา ๓๓๘ ข้อ ๓ ปรับ ๒๐ บาท ฐานลักทรัพย์ตามมาตรา ๒๙๓ ข้อ ๗ จำคุก ๖ เดือน
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยมีผิดฐานชิงทรัพย์จึงแก้ให้จำคุกจำเลยตามมาตรา ๒๙๙ มีกำหนด ๓ ปี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าข้อเท็จจริงได้ความว่า จ.ค. แล ม.๓ คนนี้กลับจากดูฟุตบอลขี่รถจักรยานมาคนละคัน ++++มีขาย ๔ คนเดิรออก+++ จำเลยได้ต่อพวกเจ้าทรัพย์แต่ไม่ถูก ส่วน ว. จำเลยก็ได้ต่อยด้วยถูก จ. ตกรถจักรยานแล้วจับรถตอนท้ายอานไว้ จ. แย่งรถคืนได้ส่วนหนังอานแลกะเป๋าท้ายอานราคารวม ๘ บาท ว.จำเลยได้ติดมือเอาไป ข้อที่ศาลเดิมเห็นว่าไม่มีการสมคบกันนั้น เห็นว่าจำเลยเดิรมาพร้อมกันแล้วเข้าขวางหน้ารถแลต่อยพวกเจ้าทรัพย์ แล ว. จำเลยเข้าแย่งรถในที่สุดได้ไปแต่หนังอานแลกะเป๋ารถรูปคดีจึงฟังได้ว่าเป็นการสมคบกันทำการชิงทรัพย์ซึ่งเป็นผิดตาม ม.๒+๙ จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์