คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2747/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์เป็นคดีใหม่ ส่วนจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 มิได้ฟ้องโจทก์เป็นคดีใหม่ด้วย จึงมิใช่กรณีที่จะงดการบังคับคดีแก่จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 293 แต่การบังคับคดีเพื่อให้เป็นไปตามคำพิพากษาสำหรับจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 จะต้องบังคับเอาแก่ทรัพย์สินที่จำนองก่อน หากไม่พอชำระหนี้จึงจะบังคับเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 เมื่อยังไม่เป็นที่แน่นอนว่าราคาทรัพย์สินจำนองพอชำระหนี้หรือไม่ และทรัพย์สินที่จำนองส่วนมากเป็นทรัพย์สินที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 จำนองร่วมกับจำเลยที่ 1 จึงไม่อาจแบ่งแยกบังคับทรัพย์สินที่จำนองร่วมกันโดยไม่กระทบต่อสิทธิของจำเลยที่ 1 ซึ่งถึงที่สุดไปแล้วตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดการบังคับคดีแก่จำเลยที่ 1 กรณีเป็นเรื่องจำเป็นและสมควรที่จะให้งดการบังคับคดีจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ซึ่งเป็นลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ไว้ด้วย.

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้โจทก์เป็นเงิน 20,817,709.44 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีจากต้นเงิน 18,193,377.10 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 ร่วมรับผิดคนละ 15,000,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย จำเลยที่ 4 ร่วมรับผิด 8,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยหากจำเลยทั้งสี่ไม่ชำระหนี้ให้ครบถ้วน ให้ยึดทรัพย์จำนองขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้โจทก์ ถ้าได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้บังคับจากทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสี่จนครบ จำเลยที่ 1 ขอให้ศาลชั้นต้นงดการบังคับคดีโดยอ้างว่าจำเลยที่ 1 ได้ฟ้องเรียกเงินจากโจทก์และศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชำระเงินแก่จำเลยที่ 1 จำนวน 106,941,660 บาทคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดการบังคับคดีแก่จำเลยที่ 1 โจทก์ขอให้ศาลชั้นต้นบังคับคดีแก่จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นงดการบังคับคดี โจทก์ยื่นคำแถลงคัดค้าน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดการบังคับคดีแก่จำเลยที่ 2 ที่ 3และที่ 4 ไว้ระหว่างคดีที่จำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์ยังไม่ถึงที่สุด
โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้งดการบังคับคดีสำหรับจำเลยที่ 1 ถึงที่สุดโดยโจทก์มิได้อุทธรณ์ คดีมีปัญหาวินิจฉัยว่า มีเหตุที่จะให้งดการบังคับคดีจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 หรือไม่ กรณีของจำเลยที่ 2ที่ 3 และที่ 4 นั้น มิได้ฟ้องโจทก์เป็นคดีใหม่จึงมิใช่กรณีที่จะงดการบังคับคดีได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 293คงมีข้อที่ต้องพิจารณาต่อไปว่า มีเหตุสมควรที่จะให้งดการบังคับคดีไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 292(3) หรือไม่ได้พิจารณาถึงวิธีการบังคับคดีเพื่อให้เป็นไปตามคำพิพากษาสำหรับจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 แล้ว เป็นกรณีที่จะต้องบังคับเอาแก่ทรัพย์ที่จำนองก่อน หากไม่พอชำระหนี้จึงจะบังคับเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ได้ ในชั้นนี้ยังไม่เป็นที่แน่นอนว่าราคาทรัพย์จำนองพอชำระหนี้หรือไม่ จึงยังไม่ถึงขั้นที่จะต้องพิจารณาว่าต้องบังคับเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 2 ที่ 3และที่ 4 หรือไม่ ในเมื่อทรัพย์ที่จำนองส่วนมากเป็นทรัพย์ที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 จำนองร่วมกับจำเลยที่ 1 จึงเป็นกรณีที่ไม่อาจแบ่งแยกบังคับทรัพย์ที่จำนองร่วมกันโดยไม่กระทบต่อสิทธิของจำเลยที่ 1 ซึ่งถึงที่สุดไปแล้วตามคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้งดการบังคับคดีไว้ได้ จึงเป็นเรื่องจำเป็นและสมควรที่จะให้งดการบังคับคดีจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ซึ่งเป็นลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ไว้ด้วย
พิพากษายืน.

Share