แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้จำเลยที่ 1 และที่ 2 จะเป็นผู้ครอบครองที่ดินซึ่งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน จำเลยทั้งสองก็ไม่มีสิทธิครอบครองอันจะนำไปโอนให้แก่จำเลยที่ 3 หรือบุคคลอื่นได้ตามกฎหมาย การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงไม่เป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 350
เมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดแล้ว ที่จำเลยฎีกาว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยนอกฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามได้สมคบกันเพื่อมิให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนโดยจำเลยที่ 1 และหรือจำเลยที่ 2 ได้ทำนิติกรรมโอนที่ดินตามใบ ภ.บ.ท.6ซึ่งเป็นของจำเลยที่ 1 และหรือจำเลยที่ 2 ให้แก่จำเลยที่ 3 เพื่อขอออก น.ส.3ในนามของจำเลยที่ 3 เพื่อมิให้โจทก์นำยึดที่ดินแปลงดังกล่าวมาขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษา ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 350, 83
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ววินิจฉัยว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน จำเลยที่ 1 และที่ 2ไม่มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองและจะโอนให้แก่กันหรือบุคคลภายนอกไม่ได้ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่พิพาทดังกล่าวอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน แม้จำเลยที่ 1 และที่ 2จะเป็นผู้ครอบครอง จำเลยทั้งสองก็ไม่มีสิทธิครอบครองอันจะนำไปโอนให้แก่จำเลยที่ 3 หรือบุคคลอื่นได้ตามกฎหมาย การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงไม่เป็นความผิดตามฟ้อง
ที่โจทก์ฎีกาว่า ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสามโอนที่ดินกันตามที่โจทก์กล่าวในฟ้อง จำเลยทั้งสามจึงไม่มีความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์นั้น เห็นว่า เมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ฎีกาของโจทก์ในปัญหาข้อนี้จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ศาลฎีกาไม่วินิจฉัย
พิพากษายืน