คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2745/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้จำเลยที่ 1 และที่ 2 จะเป็นผู้ครอบครองที่ดินซึ่งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน จำเลยทั้งสองก็ไม่มีสิทธิครอบครองอันจะนำไปโอนให้แก่จำเลยที่ 3 หรือบุคคลอื่นได้ตามกฎหมาย การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงไม่เป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350
เมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดแล้ว ที่จำเลยฎีกาว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยนอกฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามได้สมคบกันเพื่อมิให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน โดยจำเลยที่ ๑ และหรือจำเลยที่ ๒ ได้ทำนิติกรรมโอนที่ดินตามใบ ภ.บ.ท.๖ ซึ่งเป็นของจำเลยที่ ๑ และหรือจำเลยที่ ๒ ให้แก่จำเลยที่ ๓ เพื่อขอออก น.ส.๓ ในนามของจำเลยที่ ๓ เพื่อมิให้โจทก์นำยึดที่ดินแปลงดังกล่าวมาขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษา ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๐, ๘๓
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ววินิจฉัยว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ไม่มีกรรมสิทธิ์ครอบครองและจะโอนให้แก่กันหรือบุคคลภายนอกไม่ได้ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่พิพาทดังกล่าวอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน แม้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จะเป็นผู้ครอบครอง จำเลยทั้งสองก็ไม่มีสิทธิครอบครองอันจะนำไปโอนให้แก่จำเลยที่ ๓ หรือบุคคลอื่นได้ตามกฎหมาย การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงไม่เป็นความผิดตามฟ้อง
ที่โจทก์ฎีกาว่า ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าไม่ปรากฎว่าจำเลยทั้งสามโอนที่ดินกันตามที่โจทก์กล่าวในฟ้อง จำเลยทั้งสามจึงไม่มีความผิดฐานโกงเจ้าหนี้เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์นั้น เห็นว่า เมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ฎีกาของโจทก์ในปัญหาข้อนี้จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ศาลฎีกาไม่วินิจฉัย
พิพากษายืน

Share