คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2734/2549

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ผู้ร้องเบิกความเป็นพยานในสำนวนร้องขัดทรัพย์สำนวนแรกว่า มีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 18 หมู่ที่ 5 ตำบลไสหร้า สำนวนที่สองว่า มีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 100 หมู่ที่ 5 ตำบลไสหร้า และจากแบบรับรองรายการทะเบียนราษฎร์ว่าผู้ร้องมีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 100 หมู่ที่ 5 ตำบลไสหร้า จึงฟังได้ว่าผู้ร้องมีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านเลขที่ดังกล่าวทั้งสองแห่ง เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีปิดประกาศขายทอดตลาดให้ผู้ร้องทราบ ณ บ้านเลขที่ 100 หมู่ที่ 5 ตำบลไสหร้า ถือว่าได้แจ้งประกาศขายทอดตลาดให้ผู้ร้องทราบแล้ว

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินตามหนังสือสัญญากู้เงินศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยจำเลยยอมชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 174,000 บาท จำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์ขอออกหมายบังคับคดี และนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 445 และ 656 ที่มีชื่อผู้ร้องเป็นผู้มีสิทธิครอบครองนำออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้แก่โจทก์ และโจทก์เป็นผู้ซื้อได้ในราคา 370,000 บาท เท่าราคาประเมินของเจ้าพนักงานบังคับคดี
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาด
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า การขายทอดตลาดตามราคาประเมินของเจ้าพนักงานบังคับคดีชอบด้วยกฎหมายแล้ว ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่ผู้ร้องฎีกาว่า การส่งประกาศขายทอดตลาดที่บ้านเลขที่ 100 หมู่ที่ 5 ตำบลไสหร้า อำเภอฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราช ไม่ใช่ภูมิลำเนาตามที่อยู่อาศัยอันแท้จริงหรือถิ่นที่อยู่จริงของผู้ร้อง การส่งประกาศขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีจึงไม่ชอบ ผู้ร้องไม่ทราบวันนัดขายทอดตลาดนั้น เห็นว่าศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัยถึงภูมิลำเนาของผู้ร้องโดยอาศัยข้อเท็จจริงที่ผู้ร้องเบิกความเป็นพยานในสำนวนร้องขัดทรัพย์คดีนี้สำนวนแรกว่า มีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 18 หมู่ที่ 5 ตำบลไสหร้า สำนวนที่สองว่า มีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 100 หมู่ที่ 5 ตำบลไสหร้า และจากแบบรับรองรายการทะเบียนราษฎร์ว่า ผู้ร้องมีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านเลขที่ 100 หมู่ที่ 5 ตำบลไสหร้า ทั้งสองแห่ง เจ้าพนักงานบังคับคดีปิดประกาศขายทอดตลาดให้ผู้ร้องทราบ ณ บ้านเลขที่ 100 หมู่ที่ 5 ตำบลไสหร้า ถือว่าได้แจ้งประกาศขายทอดตลาดให้ผู้ร้องทราบแล้ว คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 8 จึงเป็นไปตามข้อเท็จจริงและชอบแล้ว ฎีกาของผู้ร้องไม่มีเหตุผลที่จะเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ได้ ศาลฎีกาโดยความเห็นชอบของรองประธานศาลฎีกาซึ่งประธานศาลฎีกามอบหมาย เห็นว่า ฎีกาของผู้ร้องเป็นสาระแก่คดีอันไม่ควรได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายกฎีกาของผู้ร้อง

Share