คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2732/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยว่าจ้างโจทก์ทำแม่พิมพ์ เมื่อค่าจ้างครบหนึ่งแสนบาทจึงคิดบัญชีกันครั้งหนึ่งหลังจากจำเลยจ้างโจทก์แล้วค้างชำระหนี้ยังไม่ถึงหนึ่งแสนบาท จำเลยไม่ว่าจ้างอีกกลับไปสั่งทำจากที่อื่นแทน ครั้นโจทก์ทวงถามให้ชำระจำเลยก็ผัดผ่อนถือได้ว่าได้มีการเลิกสัญญาดังกล่าวแล้ว โจทก์มีอำนาจฟ้อง
โจทก์ฟ้องเรียกค่าจ้างทำของ ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(1) บัญญัติให้มีอายุความ 2 ปี ได้ความว่า เดิมมีข้อตกลงว่า เมื่อค่าจ้างครบจำนวนหนึ่งแสนจึงจะมีการคิดบัญชีและชำระหนี้กัน เมื่อเดือน มีนาคม 2517 โจทก์ติดต่อจำเลยขอเปลี่ยนเงื่อนไขการชำระเงินเป็นว่าครบ 50,000 บาท ให้คิดบัญชีกันครั้งหนึ่งแต่จำเลยยังไม่ได้ตกลงด้วยจำเลยได้สั่งทำแม่พิมพ์เป็นครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนเมษายน 2517 รวมราคาทั้งสิ้น 68,395 บาท แล้วจำเลยงดสั่งทำ กลับไปสั่งทำจากที่อื่น เดือน พฤษภาคม 2517 โจทก์ทราบ จึงได้ทวงให้จำเลยชำระหนี้ เช่นนี้เมื่อโจทก์ทราบว่าจำเลยเลิกจ้างและโจทก์ทวงถามเมื่อเดือนพฤษภาคม 2517 จึงมีผลให้สัญญาจ้างเลิกกัน สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงเกิดและเริ่มนับอายุความตอนนั้น โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2519 คดีโจทก์ จึงไม่ขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องเรียกค่าทำแม่พิมพ์เป็นเงิน 68,395 บาท พร้อมดอกเบี้ย

จำเลยทั้งสองให้การว่า เป็นฟ้องซ้ำ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะหนี้ยังไม่ถึงหนึ่งแสนบาทตามข้อตกลง ฟ้องโจทก์ฟุ่มเฟือย คดีขาดอายุความและโจทก์ใช้สิทธิไม่สุจริต

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินโจทก์ 68,395 บาท

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยทั้งสองฎีกาข้อที่สองว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะหนี้ของจำเลยยังไม่ครบ 100,000 บาท ตามที่ตกลงกันนั้น เห็นว่าแม้จะมีข้อตกลงดังกล่าว แต่ทางพิจารณาได้ความว่า หลังจากจำเลยว่าจ้างโจทก์ทำแม่พิมพ์แล้วค้างชำระหนี้จำนวนหนึ่งยังไม่ถึง 100,000 บาท จำเลยไม่ว่าจ้างอีก กลับไปสั่งทำจากที่อื่นแทน ครั้นโจทก์ทวงถามให้ชำระหนี้ที่ค้างจำเลยก็ผัดผ่อนเรื่อยมาถือได้ว่าได้มีการเลิกสัญญาดังกล่าวแล้ว โจทก์มีอำนาจฟ้องและฟ้องของโจทก์ได้แสดงข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาไว้ชัดเจนมิได้ฟุ่มเฟือยดังที่จำเลยโต้แย้ง

ที่จำเลยทั้งสองฎีกาข้อที่สามว่าฟ้องของโจทก์ขาดอายุความนั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องเรียกค่าจ้างทำของ ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 165(1) บัญญัติให้มีอายุความ 2 ปี คดีได้ความว่าเดิมมีข้อตกลงว่าเมื่อค่าจ้างครบจำนวนหนึ่งแสนบาท จึงจะมีการคิดบัญชีและชำระหนี้กัน ไม่ได้ใช้ชำระทันที่เมื่องส่งของ หลังจากจำเลยได้ตกลงว่าจ้างโจทก์ทำแม่พิมพ์ จำเลยได้สั่งโจทก์ทำแม่พิมพ์ติดต่อกันมาจนถึงเดือนกุมภาพันธ์2517 คิดเป็นเงินยังไม่ถึง 100,000 บาท จำเลยก็สั่งทำน้อยลง โจทก์เห็นว่ากว่าเงินค่าจ้างจะครบจำนวน 100,000 บาท จะเป็นระยะเวลานานเกินไปเมื่อเดือนมีนาคม 2517 โจทก์จึงได้ติดต่อกับจำเลยขอเปลี่ยนเงื่อนไขการชำระเงินเป็นว่าครบ 50,000 บาท ให้คิดบัญชีกันครั้งหนึ่ง แต่จำเลยยังไม่ได้ตกลงด้วย หลังจากนั้นจำเลยได้สั่งทำแม่พิมพ์ครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนเมษายน 2517 ซึ่งรวมเป็นราคาทั้งสิ้น 68,395 บาท แล้วจำเลยงดสั่งทำ กลับไปสั่งทำจากที่อื่น เมื่อเดือนพฤษภาคม 2517 โจทก์ทราบจึงได้ทวงให้จำเลยชำระหนี้ เช่นนี้ในเดือนมกราคม 2517 ที่โจทก์ขอเปลี่ยนเงื่อนไขการชำระหนี้เงินนั้น มิใช่เลิกสัญญา ทั้งจำเลยยังไม่ได้ตกลงด้วย สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงยังไม่มีต่อเมื่อโจทก์ทราบว่า จำเลยเลิกจ้างและโจทก์ทวงถามเมื่อเดือนพฤษภาคม 2517 จึงมีผลให้สัญญาจ้างเลิกกันโจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าจ้างทำของ ถือว่าสิทธิเรียกร้องของโจทก์เริ่มนับอายุความตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2517 โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2519 ไม่ขาดอายุความ

พิพากษายืน

Share