คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1017/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 ตั้งทนายดำเนินคดีขอให้ศาลพิพากษาแสดงว่ากรรมสิทธิ์ในที่ดินเป็นของโจทก์ จำเลยที่ 1 กลับไปกรอกข้อความเป็นว่าโจทก์มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 ฟ้องและทำสัญญาประนีประนอมยอมความแทนโจทก์ จำเลยที่ 1 ได้ยื่นฟ้องจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 แล้วร่วมกับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันด้วยเจตนาฉ้อโกงโจทก์โดยทุจริต เป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ขอให้พิพากษาเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมในคดีดังกล่าว ดังนี้ กรณีเป็นเรื่องที่โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวแทนกระทำการโดยปราศจากอำนาจหรือทำนอกเหนือขอบอำนาจทำให้โจทก์เสียหายและจำเลยทั้งสี่กระทำการละเมิดสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงชอบที่จะว่ากล่าวเอาแก่จำเลยตามกฎหมายดังกล่าว จะมาฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมซึ่งถึงที่สุดแล้วหาได้ไม่เพราะโจทก์เป็นคู่ความในคดีเดิมนั้นจึงต้องถูกผูกพันตามคำพิพากษาในคดีดังกล่าว ศาลย่อมพิพากษายกฟ้องคดีใหม่นี้ได้เลยโดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคดีมาฟ้องใหม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ประสงค์จะดำเนินคดีเพื่อขอให้ศาลพิพากษาแสดงว่ากรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยที่ 1 รับจะจัดการให้และให้โจทก์ลงชื่อในกระดาษเปล่าอ้างเป็นหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 แต่งตั้งทนายความดำเนินคดีต่อมาโจทก์จึงทราบว่าถูกจำเลยที่ 1 หลอกลวงโดยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยที่ 2, 3, 4 ปรากฏตามสำเนาคดีแพ่งของศาลชั้นต้นหมายเลขแดงที่ 40/2516 ทำให้โจทก์เสียหายโดยจำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจเพราะโจทก์ไม่ได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 ไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความ การกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นการละเมิดต่อโจทก์สัญญาประนีประนอมยอมความใช่ผูกพันโจทก์ ขอให้พิพากษาเพิกถอนสัญญาประนีประนอมและคำพิพากษาตามยอมในคดีดังกล่าว และมีคำสั่งให้รื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่

ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องของโจทก์แล้วมีคำสั่งให้ยกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นรับคำฟ้องไว้พิจารณาต่อไป

จำเลยที่ 2, 3 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อวินิจฉัยในชั้นฎีกามีเพียงว่า โจทก์จะฟ้องขอให้ทำลายคำพิพากษาตามยอมในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 40/2516 ของศาลชั้นต้นและขอให้พิจารณาคดีดังกล่าวใหม่ได้หรือไม่ เห็นว่าคดีนี้เป็นกรณีที่โจทก์อ้างว่าโจทก์ได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนเพื่อแต่งตั้งทนายความดำเนินคดีขอให้ศาลพิพากษาแสดงว่ากรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นของโจทก์ แต่จำเลยที่ 1 กลับนำเอาลายมือชื่อโจทก์ที่ลงไว้ในกระดาษเปล่าไปกรอกข้อความเป็นว่า โจทก์มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 ฟ้องคดีแทนและมอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความแทนโจทก์ได้ ความจริงโจทก์มิได้มอบหมายให้จำเลยที่ 1 กระทำการเช่นนั้น กรณีเป็นเรื่องที่โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวแทนกระทำการโดยปราศจากอำนาจหรือทำนอกเหนือขอบอำนาจของการเป็นตัวแทนทำให้โจทก์ซึ่งเป็นตัวการได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 1 ในฐานะตัวแทนจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 812 นอกจากนี้โจทก์ยังบรรยายฟ้องต่อไปอีกว่า จำเลยที่ 1 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 40/2516 ด้วยเจตนาฉ้อโกงโจทก์โดยทุจริต เป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ ฉะนั้น โจทก์จึงชอบที่จะว่ากล่าวเอากับจำเลยทั้งสี่ตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว โดยที่โจทก์คดีนี้เป็นคู่ความในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 40/2516 ด้วย โจทก์จึงต้องผูกพันตามคำพิพากษาของศาลในคดีดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 โจทก์จะมาฟ้องขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมซึ่งถึงที่สุดแล้วหาได้ไม่ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยทั้งสองฟังขึ้น

พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์โดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคดีมาฟ้องใหม่

Share