แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยว่าจ้างโจทก์ทำแม่พิมพ์ เมื่อค่าจ้างครบหนึ่งแสนบาทจึงคิดบัญชีกันครั้งหนึ่ง หลังจากจำเลยจ้างโจทก์แล้วค้างชำระหนี้ยังไม่ถึงหนึ่งแสนบาท จำเลยไม่ว่าจ้างอีก กลับไปสั่งทำจากที่อื่นแทน ครั้นโจทก์ทวงถามให้ชำระ จำเลยก็ผัดผ่อน ถือได้ว่าได้มีการเลิกสัญญาดังกล่าวแล้ว โจทก์มีอำนาจฟ้อง
โจทก์ฟ้องเรียกค่าจ้างทำของ ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165 (1) บัญญัติให้มีอายุความ 2 ปี ได้ความว่า เดิมมีข้อตกลงว่า เมื่อค่าจ้างครบจำนวนหนึ่งแสน จึงจะมีการคิดบัญชีและชำระหนี้กัน เมื่อเดือนมีนาคม 2517 โจทก์ติดต่อจำเลยขอเปลี่ยนเงื่อนไขการชำระเงินเป็นว่าครบ 50,000 บาท ให้คิดบัญชีกันครั้งหนึ่งแต่จำเลยยังไม่ได้ตกลงด้วย จำเลยได้สั่งทำแม่พิมพ์เป็นครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนเมษายน 2517 รวมราคาทั้งสิ้น 68,395 บาท แล้วจำเลยงดสั่งทำ กลับไปสั่งทำจากที่อื่น เดือนพฤษภาคม 2517 โจทก์ทราบ จึงได้ทวงให้จำเลยชำระหนี้ เช่นนี้เมื่อโจทก์ทราบว่าจำเลยเลิกจ้างและโจทก์ทวงถามเมื่อเดือน-พฤษภาคม 2517 จึงมีผลให้สัญญาจ้างเลิกกัน สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงเกิดและเริ่มนับอายุความตอนนั้น โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2519 คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องเรียกค่าจ้างทำแม่พิมพ์เป็นเงิน ๖๘,๓๙๕ บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การว่า เป็นฟ้องซ้ำ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะหนี้ยังไม่ถึงหนึ่งแสนบาทตามข้อตกลง ฟ้องโจทก์ฟุ่มเฟือย คดีขาดอายุความ และโจทก์ใช้สิทธิไม่สุจริต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินโจทก์ ๖๘,๓๙๕ บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลวินิจฉัยว่า ที่จำเลยทั้งสองฎีกาข้อที่สองว่า โจทก์ยังไม่มีอำนาจฟ้องเพราะหนี้ของจำเลยยังไม่ครบ ๑๐๐,๐๐๐ บาท ตามที่ตกลงกันนั้น เห็นว่า แม้จะมีข้อตกลงดังกล่าว แต่ทางพิจารณาได้ความว่า หลังจากจำเลยว่าจ้างโจทก์ทำแม่พิมพ์แล้วค้างชำระหนี้จำนวนหนึ่งยังไม่ถึง ๑๐๐,๐๐๐ บาท จำเลยไม่ว่าจ้างอีก กลับไปสั่งทำจากที่อื่นแทน ครั้นโจทก์ทวงถามให้ชำระหนี้ที่ค้าง จำเลยก็ผัดผ่อนเรื่อยมา ถือได้ว่าได้มีการเลิกสัญญาดังกล่าวแล้ว โจทก์มีอำนาจฟ้องและฟ้องของโจทก์ได้แสดงข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาไว้ชัดเจน มิได้ฟุ่มเฟือยดังที่จำเลยโต้แย้ง
ที่จำเลยทั้งสองฎีกาข้อที่สามว่าฟ้องของโจทก์ขาดอายุความนั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องเรียกค่าจ้างทำของ ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๕ (๑) บัญญัติให้มีอายุความ ๒ ปี คดีได้ความว่าเดิมมีข้อตกลงว่าเมื่อค่าจ้างครบจำนวนหนึ่งแสน จึงจะมีการคิดบัญชีและชำระหนี้กัน ไม่ได้ให้ชำระทันทีเมื่อส่งของ หลังจากจำเลยได้ตกลงว่าจ้างโจทก์ทำแม่พิมพ์ จำเลยได้สั่งโจทก์ทำแม่พิมพ์ติดต่อกันมาจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๑๗ คิดเป็นเงินยังไม่ถึง ๑๐๐,๐๐๐ บาท จำเลยก็สั่งทำน้อยลง โจทก์เห็นว่ากว่าเงินค่าจ้างจะครบจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท จะเป็นระยะเวลานานเกินไปเมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๑๗ โจทก์จึงได้ติดต่อกับจำเลยขอเปลี่ยนเงื่อนไขการชำระเงินเป็นว่าครบ ๕๐,๐๐๐ บาท ให้คิดบัญชีกันครั้งหนึ่ง แต่จำเลยยังไม่ได้ตกลงด้วย หลังจากนั้นจำเลยได้สั่งทำแม่พิมพ์ครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนเมษายน ๒๕๑๗ ซึ่งรวมเป็นราคาทั้งสิ้น ๖๘,๓๙๕ บาท แล้วจำเลยงดสั่งทำ กลับไปสั่งทำจากที่อื่น เมื่อเดือนพฤษภาคม ๒๕๑๗ โจทก์ทราบ จึงได้ทวงให้จำเลยชำระหนี้ เช่นนี้ในเดือนมีนาคม ๒๕๑๗ ที่โจทก์ขอเปลี่ยนเงื่อนไขการชำระหนี้เงินนั้น มิใช่เลิกสัญญา ทั้งจำเลยยังไม่ได้ตกลงด้วย สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงยังไม่มีต่อเมื่อโจทก์ทราบว่า จำเลยเลิกจ้างและโจทก์ทวงถามเมื่อเดือนพฤษภาคม ๒๕๑๗ จึงมีผลให้สัญญาจ้างเลิกกันโจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าจ้างทำของ ถือว่าสิทธิเรียกร้องของโจทก์เริ่มนับอายุความตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ๒๕๑๗ โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๑๙ ไม่ขาดอายุความ
พิพากษายืน.