แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้เดิมจำเลยจะยึดถือที่พิพาทไว้เพื่อทำกินต่างดอกเบี้ยเงินกู้อันเป็นการยึดถือไว้แทนโจทก์ แต่เมื่อโจทก์ขอไถ่ถอนที่ดินพิพาทคืนจำเลยไม่ยอมให้โจทก์ไถ่ถอนคืน กรณีจึงเป็นการที่จำเลยยึดถือที่ดินพิพาทอยู่ในฐานะผู้แทนผู้ครอบครองคือโจทก์ แล้วจำเลยเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือ โดยบอกกล่าวไปยังโจทก์ว่าไม่เจตนาจะยึดถือที่ดินพิพาทแทนโจทก์ต่อไป เป็นการแสดงเจตนาแย่งการครอบครองจากโจทก์ตลอดมา โจทก์มิได้ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายในปีหนึ่งนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง ย่อมหมดสิทธิจะเอาคืนซึ่งการครอบครองที่พิพาท
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ1 แปลง เนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ เดิมที่ดินดังกล่าวเป็นของบิดามารดาโจทก์ บิดามารดาโจทก์กู้เงินจากนายยุน และได้มอบที่ดินดังกล่าวให้นายยุนทำกินต่างดอกเบี้ย พ.ศ. 2517 บิดามารดาโจทก์ยกที่ดินให้แก่โจทก์ ต่อมาโจทก์ขอยืมเงินจากจำเลย 1,900 บาทไปไถ่ถอนที่ดินคืนจากนายยุน แต่จำเลยไม่ยอมรับชำระหนี้ และข่มขู่จะไม่ให้โจทก์เข้าครอบครองที่ดิน ขอให้ศาลพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง ให้จำเลยรับชำระหนี้1,900 บาท
จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย โดยซื้อมาจากนายยุนเมื่อ พ.ศ. 2517 จำเลยได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมาเกินกว่า 1 ปี ต่อมาจำเลยได้นำที่ดินพิพาทไปออก น.ส.3 ก.ในนามของจำเลย พ.ศ. 2523 โจทก์ได้ขออนุญาตจำเลยปลูกบ้านอยู่ทางทิศตะวันตกของที่ดินพิพาทชั่วคราว พ.ศ. 2526 โจทก์ไปยื่นคำร้องต่ออำเภอจอมพระ จังหวัดสุรินทร์ เพื่อขอที่ดินพิพาทคืน โจทก์จำเลยได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยจำเลยตกลงแบ่งส่วนหนึ่งของที่ดินพิพาทเนื้อที่กว้าง 12 วา ยาว 18 วา ทางทิศตะวันตกให้โจทก์โดยโจทก์ตกลงชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่จำเลยเป็นเงิน 2,000 บาทแต่โจทก์ผิดสัญญา ฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะฟ้องเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลา 1 ปี นับแต่วันที่โจทก์ถูกแย่งการครอบครองขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทเนื้อที่ประมาณ1 ไร่เศษ เป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง ให้จำเลยรับชำระหนี้จำนวน 1,900 บาท จากโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์เสียด้วยนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องเรียกเอาคืนที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนที่จำเลยครอบครองอยู่หรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ประมาณ พ.ศ. 2523-2524โจทก์เข้าครอบครองที่ดินพิพาทเฉพาะทางทิศตะวันตกเนื้อที่กว้าง12 วา ยาว 18 วา ที่ดินพิพาทส่วนที่เหลือ ทางทิศตะวันออกจำเลยเป็นผู้ครอบครองทั้งหมด ต่อมา พ.ศ. 2526 โจทก์ได้ขอไถ่ถอนที่ดินพิพาทคืน แต่จำเลยไม่ยอม เห็นว่า การที่จำเลยไม่ยอมให้โจทก์ไถ่ถอนคืน กรณีจึงเป็นการที่จำเลยยึดถือที่ดินพิพาทอยู่ในฐานะผู้แทนผู้ครอบครองคือโจทก์ แล้วจำเลยเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือโดยบอกกล่าวไปยังโจทก์ว่าไม่เจตนาจะยึดถือที่ดินพิพาทแทนโจทก์ต่อไปเป็นการแสดงเจตนาแย่งการครอบครองจากโจทก์ตั้งแต่ พ.ศ. 2526เป็นต้นมา แม้ต่อมาเมื่อโจทก์ไปร้องเรียนยังอำเภอจอมพระพนักงานเจ้าหน้าที่อำเภอจอมพระได้เรียกโจทก์จำเลยไปไกล่เกลี่ยโจทก์และจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันต่อหน้าพนักงานเจ้าหน้าที่ว่าจำเลยตกลงแบ่งที่ดินพิพาททางทิศตะวันตกให้โจทก์เนื้อที่กว้าง 12 วา ยาว 18 วา โดยโจทก์ต้องเสียค่าทดแทน 2,000 บาทแก่จำเลย ตามเอกสารหมาย ล.1 นั้น จากข้อความในสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว ที่จำเลยตกลงแบ่งที่ดินพิพาทให้โจทก์เพียงบางส่วนและโจทก์ต้องเสียค่าตอบแทนให้แก่จำเลย กลับเป็นข้อที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยมิได้แบ่งแยกให้เปล่าแต่เป็นการแบ่งให้ในลักษณะขายคืนแก่โจทก์เพียงบางส่วน อันถือได้ว่าจำเลยได้แสดงเจตนาแย่งการครอบครองที่ดินพิพาททั้งแปลงจากโจทก์อีกครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 25 มีนาคม2526 ส่วนที่โจทก์จำเลยตกลงยกเลิกสัญญาประนีประนอมยอมความกันตามเอกสารหมาย ล.2 ก็ไม่มีข้อความตอนใดว่าจำเลยสละสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท จึงฟังได้ว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาททางทิศตะวันออกโดยเจตนาเป็นเจ้าของและเป็นการแสดงเจตนาแย่งสิทธิครอบครองของโจทก์ตลอดมาตั้งแต่ต้น แต่โจทก์เพิ่งมาฟ้องจำเลยเรียกคืนที่ดินพิพาทส่วนนี้ต่อศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2528 เป็นการฟ้องเพื่อเรียกเอาคืนซึ่งสิทธิครอบครองเกินกว่า 1 ปี นับแต่วันถูกแย่งการครอบครอง โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเอาคืนที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนที่จำเลยครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน